นายสง่า บุญโยรัตน์ เล่าบอกแกนนำกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี

"สง่า"เผยลูกชาย2 สะใภ้1 ลูกเขยอีก1คน ถูกดำเนินคดี ซ้ำจะจับเขาด้วย แต่ลูกหลานกันไว้ จะสู้ถึงที่สุดแม้ไม่ได้ชดเชยสักบาทไม่ยอมสร้างสายส่งในนา

 กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ค้านโครงการเหมืองแร่โปแตช ประมาณกว่า 10 คน ได้ไปเยี่ยมครอบครัวของนายสง่า บุญโยรัตน์ ที่บ้านเลขที่ 29 หมู่ 3 บ้านเหล่ากล้วย ต.เสอเพลอ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ซึ่งถูกถูกคนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และตำรวจ บุกเข้าทำร้ายและจับกุมไปพร้อมกับนักศึกษาจำนวน 15 คน แล้วนำรถแบ็คโฮขุดแปลงนาเพื่อวางเสาก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูงขนาด 500 kv (น้ำพอง2-อุดรธานี3) เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมาได้ประกันตัว

น.ส.จันทร์จิรา บุญโยรัตน์ ลูกสาว ได้นำเดินลงไปสำรวจดูที่เกิดเหตุ ช่วงเวลานั้นก็มีตำรวจนอกเครื่องแบบ 3 นาย เฝ้าสังเกตอยู่บริเวณใกล้เคียงตลอดเวลา ขณะเดียวกัน การก่อสร้างเสาไฟฟ้าแรงสูงจุดหนึ่งอยู่ถัดจากที่นาของนายสง่าออกไป ยังคงทำงานต่อไป โดยมีตำรวจบ้านมาคอยคุ้มกันเช่นทุกวัน

นางลำพูน รัตนี แกนนำกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี กล่าวว่า มาเพื่อเยี่ยมและให้กำลังใจกัน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าไม่เป็นธรรมเลย ชาวบ้านปกป้องสิทธิของตัวเองตามรัฐธรรมนูญ และมีเหตุมีผลว่าต้องรอฟังคำตัดสินของศาลปกครอง แต่กฟผ.ก็ยังใช้กำลังตำรวจมาบีบบังคับเอา แล้วบ้านนี้เมืองนี้เราจะหวังพึ่งใครได้

"อยากให้พี่น้องมีกำลังใจในการต่อสู้ กลุ่มอนุรักษ์ฯ พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ เพราะเราก็คือคนทุกข์คนยากด้วยกัน ซึ่งหากเราไม่ช่วยกันก็จะหวังพึ่งใครไม่ได้แล้ว เพราะหน่วยงานของรัฐกับนายทุนเขาจ้องแต่จะมาปล้นเอาทรัพยากรของชาวบ้าน โดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ไม่ว่าเรื่องโปแตชหรือเรื่องไฟฟ้าก็เหมือนกัน” นางลำพูนกล่าว

นายสง่า บุญโยรัตน์ วัย 77 ปี กล่าวด้วยว่า ไม่คาดคิดว่าตำรวจกับคน กฟผ.จะข่มเหง รังแกกันขนาดนี้ ไม่ยอมรับฟังชาวบ้าน และถึงวันนี้ก็ยังเสียใจ นอนไม่หลับ วิตกกังวล เพราะห่วงนาที่จะถูกทำลาย และก็ยังห่วงลูกๆ ที่ถูก กฟผ.แจ้งจับ ดำเนินคดี

"ลูกชาย 2 คน ลูกสะใภ้ 1 คน และลูกเขยอีก 1 คน ที่ถูกจับ ซึ่งในวันนั้นตำรวจเขาเข้ามาจะจับพ่อด้วย แต่ลูกๆ ก็ช่วยกันเอาไว้ ก็ไม่คิดว่าเขาจะทำกับเราขนาดนี้ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพบเคยเห็น ที่นาก็ของเรามีกรรมสิทธิ์ทุกอย่าง พ่อจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด แม้ว่าจะไม่ได้ค่าทดแทนจากกฟผ.สักบาทเดียวก็ตาม" นายสง่ากล่าว

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ