"อธิบดีปกครอง"รูดซิปปาก "ไอซีที"ขอให้แก้กฎกระทรวงเคลียร์ปมบัตรสมาร์ทการ์ด โยนบิ๊ก2กระทรวงคุยกันเอง อ้างเกินหน้าที่ หนุนกฤษฎีกาตีความชี้รับไม่ได้หากขัดกฎกระทรวง "วี-สมาร์ท"แจงตั้งบริษัทปี 2540 ไม่ใช่แค่ 2 เดือนก่อนประกวดราคา ยันทำถูกต้องตามหลักเกณฑ์

นายมงคล สุระสัจจะ อธิบดีกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม กรณีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) เตรียมหารือกับนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยถึงการแก้ปัญหาการจัดหาบัตรประจำตัวสมาร์ทการ์ดที่มีปัญหาเนื่องจากคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยว่าบัตรสมาร์ทการ์ดที่ไอซีทีมอบให้กรมการปกครอง จำนวน 600,000 แสนใบ ขัดกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 22 ว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่ทราบว่าทางไอซีทีมีหนังสือแจ้งมาเพื่อให้ทางกระทรวงมหาดไทยไปหารือในสัปดาห์หน้าถึงกรณีดังกล่าวหรือไม่  อย่างไรก็ตาม กรณีปัญหาบัตรสมาร์ทการ์ดเป็นเรื่องที่เกินอำนาจที่ตนจะมีความเห็นได้ เพราะเป็นเพียงผู้ปฏิบัติงานเท่านั้น  ดังนั้น เรื่องการหารือดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ 2 กระทรวงจะหารือกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีกระแสข่าวไอซีทีต้องการให้กระทรวงมหาดไทยแก้กฎกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 22 เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว นายมงคล กล่าวว่า เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เกินหน้าที่ที่จะพูดได้ เพราะกฎกระทรวงก็เป็นเรื่องของกระทรวงมหาดไทย  ส่วนทางกระทรวงมหาดไทยจะยืนยันไม่แก้กฎกระทรวงหรือไม่นั้น  คงออกความเห็นกรณีนี้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่หน้าที่อำนาจของอธิบดีกรมการปกครอง ทางผู้ใหญ่ก็คงจะพูดคุยกัน

"ส่วนความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่วินิจฉัยว่าบัตรสมาร์ทการ์ดที่ออกโดยไอซีทีขัดต่อกฎกระทรวงนั้น ทางกระทรวงได้ยืนยันมาตั้งนานแล้วว่าทางกระทรวงมหาดไทยรับไม่ได้ เพราะการออกบัตรสมาร์ทการ์ด 600,000 ใบของไอซีทีไม่เป็นไปตามกฎกระทรวง ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความแล้วก็คงออกความเห็นไม่ได้  เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ใน2กระทรวงจะพิจารณา"นายมงคลระบุ

เมื่อถามว่าการออกบัตรสมาร์ทการ์ด 600,000 ใบ ไปก่อนหน้านี้ของไอซีทีทางกระทรวงมหาดไทยจะต้องเรียกบัตรคืนหรือไม่ นายมงคลกล่าว ไม่ทราบ ไม่สามารถออกความเห็นอะไรได้

วันเดียวกัน  นายกมล ทรงเจริญ ทนายความผู้รับมอบ จากบริษัทวี-สมาร์ท  ชี้แจงว่า ตามที่หนังสือพิมพ์มติชนวันที่ 23 กรกฏาคม ได้ลงข่าวเกี่ยวกับบัตรประชาชน โดยพาดหัวว่า "พบพิรุธ บ.คู่ค้าสมาร์ทการ์ด จดทะเบียน-ค่าจ้างล่วงหน้า" โดยลงเนื้อหาโดยสรุปว่า" บริษัท วี-สมาร์ท จำกัด จดทะเบียนก่อนทำสัญญากับไอซีที แค่ 2 เดือนตอนออกประกาศประกวดราคายังไม่ได้ก่อตั้งบริษัทแต่อย่างใด นั้น"  เนื้อหาข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง  บริษัทวี-สมาร์ท จดทะเบียนตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2540 ทะเบียนเลขที่ 0105540093479(เดิมเลขที่ (4)1720/2540) ส่วนหนังสือรับรองตามที่ลงข่าว เลขที่ สจ.3029685 ลงวันที่ 7 เมษายน 2552 นั้นมิใช่เลขที่ และวันที่การจดทะเบียนก่อตั้งบริษัท หากแต่เป็นเลขที่และวันที่ ที่สำนักทะเบียนฯได้ออกหนังสือรับรองให้แก่ผู้ไปคัดขอหนังสือรับรองดังกล่าว  
 จึงขอชี้แจงว่า เลขที่สจ.3029685 ลงวันที่ 7 เมษายน 2552 นั้น แสดงว่าหนังสือดังกล่าวได้มีผู้ไปขอคัดในวันที่ 7 เมษายน 2552 ซึ่งสำนักทะเบียนฯได้ออกให้เป็นฉบับเลขที่ดังกล่าว  การขอคัดหนังสือรับรองก็เพื่อนำมาใช้ประกอบสัญญาจ้าง โดยปกติราชการจะกำหนดให้ต้องใช้หนังสือรับรองที่คัดมาไม่เกิน 3 เดือน บริษัทฯจึงได้คัดหนังสือรับรองดังกล่าวเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2552 และนำไปใช้ทำสัญญาฉบับลงวันที่ 29 มิถุนายน 2552 ซึ่งอยู่ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือนตามทางปฏิบัตินั่นเอง

นายกมลชี้แจงอีกว่า ส่วนที่มีการลงข่าวว่า " จากการตรวจสอบสัญญาจ้างเหมายังพบพิรุธในข้อที่ 5 เรื่องเงินจ้างล่วงหน้าที่ระบุว่า ผู้ว่าจ้างจ่ายเงินล่วงหน้าในกับผู้รับจ้างจำนวน 45,107,889 บาท โดยเงินล่วงหน้าดังกล่าวจะจ่ายให้ภายหลังจากที่ผู้รับจ้างได้วางเงินประกันการรับเงินล่วงหน้าเป็นพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือหนังสือค้ำประกันของธนาคารในประเทศ ในการจ่ายเงินตามข้อ4 ผู้ว่าจ้างจะหักเงินค่าจ้างไว้เป็นเงินร้อยละ 5 ของค่าจ้างในแต่ละงวด ทั้งนี้หักจนกว่าจำนวนเงินที่หักไว้จะครบตามจำนวนเงินค่าจ้างล่วงหน้าที่ผู้รับจ้างได้รับไปแล้ว และจะคืนหลักประกันเงินล่วงหน้าให้แก่ผู้รับจ้างพร้อมกับการจ่ายเงินงวดสุดท้าย เมื่อตรวจสอบข้อที่ 4 กำหนดส่งมอบเงินโดยมีเงินค่าจ้างจำนวน 902,157,778 บาท(รวมภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 59,019,668.37 แล้ว) งวดที่1จำนวน45,107,889 บาท งวดที่2 จำนวน 135,323,668 บาท งวดที่ 3-6 งวดละ 135,323,668 บาท และงวดที่ 7 ซึ่งสุดท้าย 180,431,559 บาท เมื่อนำเงินทั้ง 7 งวดมารวมกัน 902,157,778 บาท"

ข้อความที่สรุปตอนท้ายข่าวที่ว่า "เท่ากับว่าเงินค่าจ้างงวดที่ 1  จำนวน 45,107,889 บาทที่จ่ายไปนั้น ตามข้อ5 จะเป็นเงินค่าจ้างล่วงหน้า ซึ่งเป็นที่ที่น่าสังเกตุว่าเหตุใดเงินค่าจ้างล่วงหน้า หรืองวดที่ 1 จึงถูกหักจนครบจำนวน 45,107,889 บาท ทั้งที่เงินดังกล่าวถูกรวมไปในงบประมาณการจ้างแล้ว และเงินที่หักคืนนั้นจะเป็นของใคร"ไม่ถูกต้อง

นายกมล ระบุว่า ความจริงเงินค่าจ้างงวดที่ จำนวน 45,107,889 บาทนั้นไม่ใช่เงินค่าจ้างล่วงหน้า แต่เป็นค่าจ้างงวดที่ 1 เงินค่าจ้างล่วงหน้ากับเงินค่าจ้างงวดที่ 1 เป็นเงินคนละส่วนกัน แต่มีเกณฑ์การคิดในอัตราร้อยละ 5 จากวงเงินค่าจ้างเช่นเดียวกัน  จำนวนเงินจึงตรงกัน เงินค่าจ้างล่วงหน้าที่ผู้รับจ้างได้รับไปดังกล่าวจะถูกหักคืนให้ผู้ว่าจ้างในอัตราร้อยละ 5 จากค่าจ้างแต่ละงวดที่ผู้ว่าจ้างจะจ่ายค่าจ้างให้ผู้รับจ้าง และจะหักไปจนกว่าจะครบจำนวนเงินค่าจ้างล่วงหน้าที่ผู้รับจ้างรับไป ซึ่งก็เป็นไปตามหลักเกณฑ์ทั่วไปของสัญญาว่าจ้างที่หน่วยงานของรัฐทำกับเอกชน เงินค่าจ้างดังกล่าวจึงมิได้มีข้อพิรุธหรือมีเหตุสงสัยว่าเงินที่หักคืนนั้นจะเป็นของใคร  จึงไม่มีประเด็นข้อสงสัยตามที่มติชนได้ลงข่าวไว้แต่อย่างใด