ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พยายามที่จะบอกใครๆ ว่าตัวเองไม่ป่วย อยู่ระหว่างท่องเที่ยวที่ มอนเตเนโกร รัสเซีย และ อูกันดา
และพยายามเอาตัวเองออกจากกลุ่มม็อบเสื้อแดง
ทั้งนี้ ศอฉ.ระบุว่า กลุ่มเสื้อแดง นั้นมี "กลุ่มก่อการร้าย" แทรกอยู่ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงพยายามหนีจากสิ่งที่ ศอฉ.หยิบยื่นให้
พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ต้องการให้สังคมโลกเห็นว่าตัวเองเป็นผู้บงการหรือเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่รัฐเมื่อวันที่ 10 เมษายน และวันที่ 22 เมษายน ระหว่างชาวสีลมกับคนเสื้อแดง แต่มีมือเอ็ม 79 ยิงถล่มใส่ประชาชนสีลม
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความวุ่นวายไม่สงบในประเทศไทยนั้นจะเป็นเหตุผลที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจเอาไปอ้างต่อประชาคมโลกได้ เพื่อที่เปิดช่องทางในการเดินทางไปยังที่ต่างๆ ได้สะดวก และอาจถึงขั้นขอลี้ภัยก็เป็นอีกขั้นที่มีการคาดการณ์กันไว้
การหายหน้าไปจากวิดีโอลิงก์ รวมทั้งโฟนอิน พยายามบอกใครๆ ว่า "ไม่ใช่หัวหน้ากลุ่มก่อการร้าย" ก็คือเหตุผลจากตรงนั้น
เพื่อความชอบธรรมที่สมบูรณ์ โดยไม่ต้องมีคดีความติดตัว และสามารถบอกกับทั่วโลกได้ว่า โดนกลั่นแกล้งจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
พยายามสื่อข้อความผ่านเว็บบล็อก Twitter.com ตอบความเห็นของแฟนคลับในทวิตเตอร์ มีสุขภาพแข็งแรง
"ข่าวลือแปลว่าข่าวที่คนปล่อยอยากให้เป็นจริง เขาอยากให้ผมตายโดยคิดว่ากระบวนการต่อสู้จะหยุดลง แต่หารู้ไม่ว่าเกินผมไปแล้ว"
"อยากให้การต่อสู้ของพี่น้องมีความชัดเจนว่ามันไม่ใช่เรื่องของผม มันยิ่งใหญ่กว่าตัวบุคคลเยอะ มันเป็นเรื่องของประชาธิปไตยและความยุติธรรม"
สอดคล้องกับปฏิทินกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ที่เดินสายร้องนานาชาติให้เข้าช่วยแก้ไขปัญหา ให้ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำคนเสื้อแดง ร้องไปยังสหประชาชาติ หรือยูเอ็น
จากนั้นให้ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ แนวร่วมคนเสื้อแดง ไปยื่นหนังสือต่อ นายเดวิด ลิปแมน เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย
โดยเนื้อหาในหนังสือสรุปได้ว่า ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทหารถูกใช้ให้มาสลายการชุมนุมของประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย ให้รัฐบาลยุบสภา แต่รัฐบาลไม่ยอมรับและฟ้องร้องเราด้วยเรื่องการก่อการร้ายและล้มล้างสถาบัน เมื่อวันที่ 10 เมาายน กองทัพสลายการชุมนุมด้วยกองพลติดอาวุธสงครามครบมือกระทำต่อประชาชนสองมือ เปล่าจนมีผู้เสียชีวิต 25 คน และบาดเจ็บกว่า 800 คน
ทำให้ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ต้องเดินสายชี้แจงต่อนานาชาติรับรู้ถึงพฤติกรรมของกลุ่มเสื้อแดง ก็หวั่นวิตกกับแรงกดดันของสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เข้าข่ายการแทรกแซงกิจการภายใน
ในความเป็นจริงแล้วประชาคมระหว่างประเทศหรือแม้แต่องค์การระหว่างประเทศ เช่น ยูเอ็นและกลุ่มเอ็นจีโอได้แสดงความวิตกกังวลต่อประเทศไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ ภายในประเทศและหวังให้รัฐบาลไทยได้แก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ปราศจากการใช้อาวุธซึ่งรัฐบาลไทยขอขอบคุณถึงความห่วงใยของมิตรประเทศ
ประเทศไทยยังคุมสถานการณ์ได้ ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่ให้ต่างชาติเข้าติดตามและให้ความช่วยเหลือแต่ อย่างใด
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวแบบ ไร้ทิศทาง ของกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อกลุ่มคนเสื้อแดงสักเท่าไหร่ เพราะการเรียกร้องประชาธิปไตย
มีการ รุกล้ำ หรือการใช้โรงพยาบาลจุฬาฯ มาเป็นการต่อรองทางการเมือง แม้แต่ประเทศที่เจริญแล้วก็ไม่เคยมีเรื่องนี้มาก่อน
การปฏิบัติการแบบ ไร้ทิศทาง ในครั้งนี้ จึงถูกมองว่าเป็นการปฏิบัติการเพื่อหวังกลบกระแสเหตุการณ์ วันที่ 10 เมษายน และวันที่ 22 เมษายน และครั้งล่าสุดคือวันที่ 28 เมษายน ซึ่งแต่ละครั้งการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ กับกลุ่มคนเสื้อแดง ทุกครั้งจะมี กองกำลังติดอาวุธ เข้าไปผสมโรง
แม้ว่าที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงมักจะออกมาปฏิเสธแบบสีข้างถลอกว่า กองกำลังติดอาวุธ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในครั้งนี้
แต่การที่ กองกำลังติดอาวุธ เข้ามาช่วย เพราะไม่อยากเห็น ทหาร-ตำรวจ เข้ามารังแกกลุ่มคนเสื้อแดง
ทำให้ ศอฉ.จับจ้องการเคลื่อนไหวของ กองกำลังติดอาวุธ แบบช็อตต่อช็อต โดยเฉพาะการติดตาม ตัวพ่อ ที่ขณะนี้ ศอฉ.เห็นว่ามีความชัดเจนมาก เพราะมีไม่กี่คนที่มีศักยภาพพอที่จะสามารถสนับสนุน กองกำลังติดอาวุธ
ถึงแม้ในจังหวะที่เกิดการปะทะ จนเกือบจะเกิดสงครามกลางเมืองนั้น ตัวพ่อจะเลือก "ตายชั่วคราว" ก็ตาม
ทีมข่าวความมั่นคง