ทั้งนี้ เงินบาทเริ่มปรับแข็งค่าขึ้นตามทิศทางค่าเงินภูมิภาค โดยมีแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นเอเชียที่พุ่งขึ้นรับข่าวว่ารัฐบาลดูไบได้รับการอัดฉีดเงิน 1 หมื่นล้านจากรัฐอาบูดาบี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เพื่อช่วยเหลือดูไบในการชำระหนี้หุ้นกู้อิสลาม 4,100 ล้านเหรียญสหรัฐที่ครบกำหนดในช่วงต้นสัปดาห์

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยตอบรับในเชิงบวกต่อข่าวดังกล่าวเช่นกัน เห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นไทยที่พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ระดับ 712 จุด

ทั้งนี้ เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยโดยเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 33.13 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ในช่วงเช้าวันอังคาร ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมเฟด โดยคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0-0.25% ต่อไป แต่จุดสนใจของตลาดอยู่ที่แถลงการณ์หลังการประชุมว่าเฟดจะมีการส่งสัญญาณถึงการยกเลิกนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้หรือไม่

อย่างไรก็ดีการร่วงลงของตลาดหุ้นภูมิภาค หลังทางการจีนประกาศว่าจะใช้เครื่องมือต่างๆ รวมทั้งนโยบายการใช้ที่ดินและภาษีเพื่อควบคุมการพุ่งขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์

ในช่วงปลายสัปดาห์ เงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 33.10 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ในช่วงเช้าวันพุธ แต่เริ่มปรับตัวในทิศทางอ่อนค่าในช่วงต่อมา หลังเงินเหรียญสหรัฐฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งท่ามกลางการคาดการณ์มากขึ้นว่าเฟดอาจปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเร็วกว่าคาด หลังจากทางการรายงานว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนพ.ย. ขณะที่ข้อมูลด้านเงินเฟ้อที่เริ่มขยับตัวสูงขึ้น แม้นายเบน เบอร์แนนคีประธานธนาคารกลางสหรัฐ จะออกมาระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังปรับตัวในอัตรา ต่ำกว่าศักยภาพอย่างมาก จนทำให้ไม่มี แนวโน้มที่จะเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อก็ตาม

อย่างไรก็ดี แรงซื้อเงินเหรียญสหรัฐของภาคธุรกิจเพื่อชำระค่าสินค้าในช่วงใกล้สิ้นปี ฉุดให้เงินบาทร่วงสู่ระดับ 33.17 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ในช่วงบ่ายวันพุธ และยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากเงินเหรียญสหรัฐที่ยังรักษาช่วงบวกไว้ได้ แม้การประชุมเฟดจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในกรอบ 0-0.25% ซึ่งเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับดังกล่าวนับจากการประชุมเดือนธ.ค. 2008 และกล่าวย้ำว่าเฟดจะยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำเป็นพิเศษต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่การแสดงความเห็นในเชิงบวกของธนาคารกลางสหรัฐต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวในช่วงนี้ที่แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ที่มีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งในส่วนของตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรม การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการปรับลดการจ้างงานชะลอตัวลง ทำให้ตลาดจับตามากขึ้นถึงช่วงเวลาที่เฟดจะเริ่มต้นถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันแรงซื้อเงินเหรียญสหรัฐของนักลงทุนเพื่อชดเชยโพสิชันในช่วงก่อนสิ้นปี ยังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้เงินเหรียญสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนเทียบกับยูโร และกดดันให้เงินบาทร่วงลงสู่ระดับ 33.21 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ในช่วงบ่ายวันพฤหัสบดี

ในสัปดาห์นี้ (21-25 ธ.ค. 2552) เงินบาทในประเทศอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 33.15-33.35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนพ.ย.ของกระทรวงพาณิชย์ ทิศทางของสกุลเงิน/ตลาดหุ้นในภูมิภาค และสัญญาณการเข้าดูแลเสถียรภาพค่าเงินของธปท.

ขณะที่ ทิศทางของเงินเหรียญสหรัฐ อาจขึ้นอยู่กับการปรับโพสิชันของนักลงทุนก่อนสิ้นปี และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ จัดทำโดยรอยเตอร์ส/มหาวิทยาลัยมิชิแกน (ขั้นสุดท้าย) เดือนธ.ค. ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ข้อมูลรายได้/การบริโภคส่วนบุคคล และดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐานเดือนพ.ย. รายงานจำนวน ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และรายงานจีดีพีประจำไตรมาส 3/2552 (รอบสุดท้าย)

ทั้งนี้ ตลาดการเงินสหรัฐจะปิดทำการในวันศุกร์ที่ 25 ธ.ค. 2552 เนื่องในวันคริสต์มาส