ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (17 ธ.ค.) หลังจากสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าผลกำไรของบริษัทสหรัฐในตลาดต่างประเทศจะหดตัวลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทเอกชน, ตัวเลขว่างงานรายสัปดาห์ที่พุ่งขึ้นเกินคาด และข่าวที่กรีซถูกปรับลดอันดับเครดิต ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วง 132.86 จุด หรือ 1.27% แตะที่ 10,308.26 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 13.10 จุด หรือ 1.18% แตะที่ 1,096.08 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลดลง 26.86 จุด หรือ 1.22% แตะที่ 2,180.05 จุด ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.72 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 11 ต่อ 4 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 1.94 พันล้านหุ้น ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกำไรของบริษัทสหรัฐในตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลต่อข่าวที่ว่าบริษัท เฟดเอ็กซ์ คอร์ป รายงานผลประกอบการที่ต่ำเกินคาด และซิตี้กรุ๊ปพยายามขายหุ้นในราคาต่ำ ซิตี้กรุ๊ป อิงค์ ประกาศระดมทุน 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านการขายหุ้น 5.4 พันล้านหุ้นที่ราคา 3.15 ดอลลาร์/หุ้นเพื่อหาเงินชำระหนี้รัฐบาล ส่งผลให้กระทรวงการคลังสหรัฐประกาศเลื่อนแผนขายหุ้น 1 ใน 3 ที่ถืออยู่ในซิตี้กรุ๊ป เนื่องจากเห็นว่าราคาขายหุ้นต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้นซิตี้กรุ๊ปที่รัฐบาลซื้อมาในราคา 3.25 ดอลลาร์/หุ้นเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา โดยทางกระทรวงคลังสหรัฐถือหุ้นสามัญของซิตี้กรุ๊ปอยู่ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และถือหุ้นบุริมสิทธิ์รวมกับหุ้นที่ได้จากข้อตกลงค้ำประกันหลักทรัพย์มูลค่า 2.0 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนหุ้นสามัญค้างชำระของซิตี้กรุ๊ปเพิ่มขึ้นแตะที่ 2.83 หมื่นล้านหุ้น จากระดับ 2.29 หมื่นล้านหุ้นในสิ้นเดือนก.ย. และขยายตัวขึ้นจาก 5 พันล้านหุ้นเมื่อช่วงสิ้นปี 2550 ทั้งนี้ ซิตี้กรุ๊ป, แบงก์ ออฟ อเมริกา และเวลส์ ฟาร์โก เป็นสามธนาคารที่ระดมทุนเป็นเงินรวมกันกว่า 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ เพื่อชำระหนี้คืนรัฐบาลในโครงการบรรเทาสินทรัพย์ที่มีปัญหาของรัฐบาล (TARP) นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยลบจากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐที่ระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการในระหว่างว่างงานสัปดาห์ที่แล้วพุ่งขึ้นแตะระดับ 480,000 ราย เพิ่มขึ้น 7,000 รายจากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ตลาดได้รับแรงกดดันมากขึ้นหลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซลงหนึ่งขั้น สู่ระดับ BBB+ จากเดิมที่ระดับ A- และเตือนว่าจะลดอันดับเครดิตลงอีก นอกเสียจากว่ารัฐบาลกรีซจะดำเนินการปรับลดยอดขาดดุลงบประมาณ โดยการประกาศลดอันดับเครดิตของ S&P มีขึ้นหลังจากที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศลดอันดับเครดิตของกรีซลงสู่ระดับ BBB+ เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา หุ้นซิตี้กรุ๊ปร่วงลง 7.3% หลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐประกาศเลื่อนแผนการขายหุ้นของซิตี้กรุ๊ป ขณะที่หุ้นเฟดเอ็กซ์ปิดร่วง 6.1% หลังจากบริษัทรายงานผลประกอบการรายไตรมาสร่วงลง 30% ส่วนหุ้นดิสคัฟเวอรี่ ไฟแนนเชียลเซอร์วิสเซส ซึ่งเป็นผู้ให้บริการบัตรเครดิต ดิ่งลง 9.1% หลังจากบริษัทรายงานผลประกอบการรายไตรมาสร่วงลง 19% สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดทรงตัวเมื่อคืนนี้ (17 ธ.ค.) ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายที่ซบเซา เนื่องจากนักลงทุนยังคงเทขาย อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับดีมานด์พลังงานที่หดตัวลงในสหรัฐ แม้กระทรวงพลังงานรายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้วร่วงลงก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลงเพียง 1 เซนต์ ปิดที่ 72.65 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในกรอบ 71.87 - 71.37 ดอลลาร์ ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลงสู่ระดับ 1.9574 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินลดลง 2.19 เซนต์ ปิดที่ 1.852 ดอลลาร์/แกลลอน ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.พ.ร่วงลง 92 เซนต์ ปิดที่ 73.37 ดอลลาร์/บาร์เรล นักลงทุนเทขายทำกำไรแม้กระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานเมื่อวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 11 ธ.ค.ร่วงลง 3.7 ล้านบาร์เรล แตะที่ 332.4 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 2.9 ล้านบาร์เรล แตะที่ 164.4 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะขยับลงเพียง 600,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 900,000 บาร์เรล แตะที่ 217.2 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันดิ่งลง 1.1% แตะที่ 80.0% นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับดีมานด์พลังงาน แม้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) คาดการณ์ว่า ดีมานด์น้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นแตะที่ 85.13 ล้านบาร์เรล/วันในปีหน้า ซึ่งเท่ากับว่าเพิ่มขึ้น 8 แสนบาร์เรล/วัน หรือ 0.98% เมื่อเทียบกับปีนี้ ขณะที่รายงานดีมานด์น้ำมันรายเดือนฉบับล่าสุดเพิ่มขึ้น 60,000 บาร์เรล/วันเมื่อเทียบกับในเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนจับตาดูสถานการณ์ในอิหร่าน หลังจากสถานีโทรทัศน์เพรสทีวีของอิหร่านรายงานว่า อิหร่านประสบความสำเร็จในการทดลองยิงจรวด Sejil 2 พิสัยไกลประมาณ 2,000 กิโลเมตร โดยรายงานข่าวระบุว่าขีปนาวุธที่ผลิตขึ้นเองในประเทศนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการระยะยาวในการปกป้องพรมแดนของประเทศ นายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ของอังกฤษกล่าวว่า การทดลองยิงจรวด Sejil 2 ของอิหร่านทำให้อังกฤษพิจารณาเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านที่รุนแรงขึ้น ขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐกล่าวว่า การทดลองยิงจรวดของอิหร่านได้สร้างความวิตกกังวลให้กับประชาคมโลก นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาดูการประชุมโอเปคในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ที่ประเทศแองโกลา หลังจากรัฐมนตรีกลุ่มโอเปคออกมาส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการเพิ่มเพดานการผลิต โดย นายอาลี อัล ไนยมี รมว.พลังงานซาอุดิอาระเบียกล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าพอใจ พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่าตลาดน้ำมันโลกมีเสถียรภาพ สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่งหนักเมื่อคืนนี้ (17 ธ.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น และเนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาทองคำทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงก่อนหน้านี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดที่ 1,107.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 28.80 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,095.70-1,142.90 ดอลลาร์ ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 17.1950 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 49.80 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 7.75 เซนต์ ปิดที่ 3.128 ดอลลาร์/ปอนด์ ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ปิดที่ 1,425.90 ดอลลาร์/ออนซ์ ดิ่งลง 31.70 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 370.00 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 3.15 ดอลลาร์ ตลาดทองคำ COMEX ดิ่งลงอย่างหนักเพราะได้รับปัจจัยลบจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงด้วย เนื่องจากดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทสหรัฐในต่างประเทศและทำให้สัญญาสินค้าโภคภัณฑ์มีราคาแพงขึ้นด้วย ดอลลาร์แข็งแกร่งขึ้นหลังจากมีกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้านี้ หลังจากที่เฟดส่งสัญญาณการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมครั้งล่าสุด รวมถึงชะลอโครงการเข้าซื้อตราสารหนี้และหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน รายงานระบุว่า กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ถือครองทองคำในปริมาณ 1,120.514 ตัน ณ วันที่ 16 ธ.ค. เพิ่มขึ้น 3.963 ตัน จากวันที่ 14 ธ.ค. สำหรับราคาทอง ประจำวันที่ 18 ธันวาคม 2552 ตามประกาศ ของสมาคมค้าทองคำ ทองคำแท่ง ซื้อบาทละ 17,450 ขายบาทละ 17,550 บาท ทองรูปพรรณ ซื้อบาทละ 17,191.44 บาท ขายออกบาทละ 17,950 บาท |