หมวดหมู่
หน้าหลัก       ยินดีต้อนรับสู่มุสลิมไทย โพสต์
 
พิมพ์หน้านี้  |  ส่งให้เพื่อน
ลี-นางมาผวา!แดงปาถุงปฏิกูลไล่มาร์ค

คมชัดลึก :แดงลพบุรีไล่นายกฯ ขว้างถุงปลาร้า-รองเท้า-ขวดน้ำ วุ่น "ผู้ใหญ่ลี-นางมา" ผวา! "มาร์ค" เล็งถก ครม.ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง พร้อมโฟนอินบัญชาการ 19 ก.ย. นปช.คุยมาเรือนแสนล้นถึงหน้าบ้านป๋า "แม้ว" ลดชั้น 3 เกลอ ตั้ง กก.คุมทัพแดง "ชัยสิทธิ์" มาแปลกหนุนปฏิวัติ

พยายามในการต่อต้านการทำหน้าที่ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ของกลุ่มคนเสื้อแดงยังคงเป็นไปอย่างดุเดือด ล่าสุด ขณะที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ที่ จ.ลพบุรี ก็ถูกกลุ่มคนเสื้อแดงตามไปสกัดขัดขวางอีกครั้ง

 เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 12 กันยายน นายกรัฐมนตรีเดินทางจากบ้านพักในซอยสุขุมวิท 31 ไปยัง อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี เพื่อบันทึกรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" และมอบใบสัญญาประกันราคา และใบรับรองผลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเดินทางครั้งนี้ตำรวจติดตามได้ใช้รถคุ้มกันปิดขบวนผู้สื่อข่าวเพื่อไม่ให้ผู้สื่อข่าวติดตาม ทั้งที่ปกติแล้วผู้สื่อข่าวจะติดตามนายอภิสิทธิ์ได้ตั้งแต่บ้านพัก ส่วนสาเหตุที่กั้นขบวนนั้นทราบว่าเป็นส่วนหนึ่งในแผนรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี

 จากนั้นในเวลา 08.30 น. ขบวนรถของนายกฯ เดินทางถึงเทศบาลตำบลท่าวุ้ง โดยมีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ ร่วมคณะ

 ส่วนนายตำรวจระดับสูงที่มาคอยควบคุมการรักษาความปลอดภัย ได้แก่ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร. อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีพันธมิตรบุกยึดสนามบิน พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) และ พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1)

 ขณะเดียวกัน มีกลุ่มเสื้อแดงประมาณ 200 คนปักหลักปราศรัยขับไล่นายกฯ บนถนนด้านหน้าเทศบาล ห่างจากรั้วสำนักงานเทศบาลตำบลท่าวุ้งไม่ถึง 30 เมตร โดยมีกำลังตำรวจประมาณ 500 นายสกัดกั้นไม่ให้ล่วงล้ำเข้ามา

เสื้อแดงปาปลาร้า-รองเท้าใส่รถนายกฯ

 จากนั้นนายกฯ ได้บันทึกเทปรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ที่หอประชุมเทศบาลตำบลท่าวุ้ง โดยมี "พลอย" เฌอมาลย์ บุณยศักดิ์ และ "ปอ" ทฤษฎี สหวงษ์ นักแสดงนำจากละคร "ผู้ใหญ่

ลีกับนางมา" เป็นพิธีกรรับเชิญ

 อย่างไรก็ตาม บรรยากาศด้านหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลท่าวุ้ง เริ่มร้อนแรงขึ้นเป็นลำดับเมื่อกลุ่มเสื้อแดงตะโกนด่าทอนายกฯ อย่างรุนแรง ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของตำรวจอย่างแน่นหนา โดยตำรวจบางนายพกปืนสำหรับยิงแก๊สน้ำตา โดยมีการสนธิกำลังกับทหาร เทศกิจ และ อปพร. กว่าพันนายเพื่อรักษาความปลอดภัย ส่วนดารารับเชิญทั้งสองคนมีสีหน้าตื่นตระหนกกับม็อบเสื้อแดงอย่างเห็นได้ชัด

 ส่วนการรักษาความปลอดภัยก่อนถึงจุดที่นายกฯ มาปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำแผงเหล็กตั้งด่านสกัดกั้นคนเสื้อแดงตั้งแต่ปากทางเข้าถนนท่าวุ้ง-ลพบุรี สามแยกธนาคารกรุงไทย-เทศบาล ระยะทางประมาณสองกิโลเมตร ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับกลุ่มเสื้อแดงที่ไม่ได้ใส่เสื้อแดง โดยด่าทอการทำงานของตำรวจว่าที่ไม่ให้ประชาชนเข้าไป แต่ไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น

 ต่อมาเวลา 10.00 น. หลังจากบันทึกเทปรายการเสร็จ ขบวนรถของนายกฯ เดินทางออกจากสำนักงานเทศบาล กลุ่มเสื้อแดงได้ขว้างปลาร้า ขวดน้ำ และรองเท้าใส่ขบวนรถของนายกฯ ทันทีทำให้กระโปรงรถของนายกฯ ผู้ติดตาม และผู้สื่อข่าวเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมด

มท.1จี้ตำรวจเอาผิดคนปาถุงปฏิกูล

  นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีกลุ่มเสื้อแดงปาถุงปฏิกูลและปลาร้าใส่ขบวนรถนายอภิสิทธิ์ว่า ตามปกติเมื่อนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ ได้สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดดูแลอยู่แล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ

 “เป็นสิ่งไม่สมควรและเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เกินกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้กฎหมายปราบปราม เพราะการกระทำเช่นนี้ไม่ว่าจะทำกับใครหรือนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะการปาอุจจาระ เพราะแม้ว่าบุคคลจะมีเสรีภาพ แต่จะทำแบบนี้ไม่ได้ จึงเป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด” นายชวรัตน์กล่าว

ถก ครม.15 ก.ย.ออก พ.ร.บ.ความมั่นคง

 ต่อมาเวลา 10.25 น. นายกฯ ได้แวะดื่มกาแฟ และหารือกับ พล.ต.อ.ธานี ที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา โดยใช้เวลาในการหารือประมาณ 20 นาที

 นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ภายหลังหารือกับ พล.ต.อ.ธานี ว่า ไม่ได้พูดคุยเกี่ยวกับคดีลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ยอมรับว่าได้หารือเรื่องการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 19 กันยายนนี้

 เมื่อถามว่า ในช่วงวันที่ 19 กันยายน จะมีการออก พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันอังคารที่ 15 กันยายน นี้ จะประชุมอีกที แต่แนวทางน่าจะเป็นอย่างนั้น

นายกฯ เล็งโฟนอินข้ามทวีป 19 ก.ย.

 นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเหตุปะทะกับกลุ่มเสื้อแดงว่า การเมืองที่ไม่เห็นด้วยนั้นไม่เป็นไร แต่รัฐบาลไม่อยากให้เกิดเหตุความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการขว้างปาสิ่งของ

 นายปณิธานระบุว่า นายกฯ บอกว่าถ้ารายงานจากคณะกรรมการพร้อม สามารถพิจารณาให้ความเห็นชอบการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงได้ทันทีภายในวันที่ 15 กันยายน หากไม่พร้อมจะนำไปพิจารณาในช่วงเช้าวันที่ 18 กันยายน ในการประชุม กอ.รมน. ขณะนี้มีโครงสร้างแผนความรับผิดชอบการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงอยู่แล้ว นายกฯ สามารถเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติได้ในวันที่ 20 กันยายน

 เมื่อถามว่า ช่วงเวลาเช่นนี้สมควรหรือไม่ที่ผู้นำประเทศน่าจะอยู่ในประเทศ นายปณิธานกล่าวว่า เป็นรายงานยืนยันที่มีแนวโน้มสถานการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น แต่คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะมีคนที่รับผิดชอบดูแลอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่นายกฯ เดินทางไปต่างประเทศก็จะจัดให้มีการสื่อสารระหว่างประชาชนในประเทศไทยทุกวัน โดยให้โทรศัพท์เข้ามาในรายการสด หรือสัมภาษณ์ข้ามทวีปผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ และจะสั่งการได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องพก พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปด้วย เพราะสามารถใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ดูแลความสงบได้

แย้ม"มีคนคิดปฏิวัติ"แต่คนจะไม่หนุน

 เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่า หากเกิดเหตุการณ์สำคัญในประเทศระหว่างที่นายกฯ เข้าร่วมประชุมองค์การสหประชาชาติ จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องเดินทางกลับทันที นายปณิธานกล่าวว่า ไม่มี เพราะการประเมินต่างกับสถานการณ์ครั้งก่อนวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นเหตุการณ์ที่ประชาชนไม่พอใจรัฐบาลมาก และความขัดแย้งสูง แต่วันนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น คนส่วนใหญ่ 80 เปอร์เซ็นต์ ต้องการให้รักษาสภาพรัฐบาลไว้

 ส่วนที่แกนนำเสื้อแดงระบุว่า จะมีมวลชนมาร่วมมากกว่าแสนคนนั้น นายปณิธานกล่าวว่า จากการประเมินไม่พบว่าจะมีถึงขนาดนั้น แต่จะมีจำนวนคนมากกว่าทุกครั้ง เพราะการชุมนุมจะประกอบด้วยคนหลายกลุ่ม และจะมีบางกลุ่มอาศัยโอกาสที่นายกฯ ไม่อยู่ก่อความวุ่นวาย ส่วนจะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่ ต้องรอให้มีสถานการณ์ที่จำเป็นก่อนจึงจะประกาศใช้ ยืนยันว่าจะใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก

 ทั้งนี้การที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ออกมาสนับสนุนการปฏิวัตินั้น นายปณิธานกล่าวว่า ขณะนี้ไม่มีเงื่อนไขเพียงพอที่จะเกิดการรัฐประหาร ยืนยันว่ารัฐบาลกับกองทัพยังมีความสัมพันธ์ที่ดีอยู่ ไม่มีปัญหาอะไร ประชาชนก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่มีความแตกแยกขัดแย้งรุนแรงเหมือนก่อน แต่ยอมรับว่าคนที่หวังว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยวิธีการปฏิวัติรัฐประหารนั้นมีอยู่ แต่จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน

"สาทิตย์" ขู่ ตร.ห้ามเกียร์ว่าง

 นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีกลุ่มเสื้อแดงที่ จ.ลพบุรี ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ถือว่ารัฐบาลเสียหน้า และไม่ได้เกินความคาดหมาย แต่คิดว่าเป็นเรื่องปกติก็ว่าได้ เพราะใครมาเป็นรัฐบาลตอนนี้ก็ต้องเจอการชุมนุมแน่นอน 

 เมื่อถามว่า กลัวตำรวจจะเกียร์ว่างในการดูแลการชุมนุมวันที่ 19 กันยายน หรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ในแง่บุคคลอาจมีใจให้บ้าง แต่ภาพรวมคงเกียร์ว่างไม่ได้ เพราะมีวินัยบังคับอยู่ และคงเป็นเรื่องยากที่ตำรวจจะอ้างว่ากลัวถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดจึงไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่

"ธานี" แถลงแผนรับม็อบ 14 ก.ย.

 พล.ต.อ.ธานีกล่าวถึงข่าว นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้เจรจากับแกนนำกลุ่มเสื้อแดงว่า ยังไม่ได้คุย คงต้องถาม พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) ซึ่งเดิมตั้งใจไปประชุมที่ บช.น.วันที่ 14 กันยายน และน่าจะคุยกัน

 เมื่อถามว่า การดูแลความเรียบร้อยจะมอบให้ทหารหรือตำรวจดูแลพื้นที่ พล.ต.อ.ธานีกล่าวว่า วันที่ 14 กันยายน จะมีการแถลงข่าวและมีรายละเอียดเพิ่มเติม ทุกอย่างเหมือนเดิม เพราะจะใช้แผนกรกฎ 48

 ส่วนกรณีที่แกนนำคนเสื้อแดงระบุว่า จะชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า และเคลื่อนขบวนไปชุมนุมที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ แต่วันนั้น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ไม่อยู่บ้านสี่เสาเทเวศร์ พล.ต.อ.ธานีกล่าวว่า ต้องดูอีกที เราต้องดำเนินการเต็มที่ เมื่อถามถึงข้อมูลที่กระทรวงมหาดไทยประเมินว่า จะมีคนเสื้อแดงมาชุมนุม 4 หมื่นคน ข้อมูลของตำรวจเป็นอย่างไร พล.ต.อ.ธานีตอบว่า "มากเกินไป"

"บุญยอด" จับตา 3 เกลอ-แนะถอนประกัน

 นายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเรียกร้องให้ตำรวจจับตาพฤติกรรมแกนนำกลุ่มเสื้อแดง โดยเฉพาะนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวีระ มุสิกพงศ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ยังคงพบมีการเคลื่อนไหวผ่านสื่ออยู่ตลอด เกรงจะมีความพยายามปลุกระดม จนนำไปสู่ความรุนแรงถึงขั้นแตกหักในการชุมนุมวันที่ 19 กันยายน นี้ และขอให้ตำรวจยื่นเรื่องถอนการประกันตัวของแกนนำไม่ให้ไปขึ้นเวทีปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายตามที่คาดการณ์ว่ามีความพยายามให้เกิดเหตุความรุนแรงเพื่อรำลึกวันครบรอบ 3 ปี รัฐประหาร

"จตุพร" ให้จับตาสถานการณ์เดือน ก.ย.

 วันเดียวกัน แกนนำ นปช. นำโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้เปิดโรงเรียนผู้ปฏิบัติการ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน เพื่อผลิตครู วิทยากร เผยแพร่แนวคิดของกลุ่ม นปช.ไปทั่วประเทศ

 นายจตุพร กล่าวว่า การชุมนุมในวันที่ 19 กันยายน คาดว่าจะมีประชาชนเสื้อแดงมาชุมนุมประมาณ 1 แสนคน ซึ่งน่าจะล้นลานพระบรมรูปทรงม้าไปจนถึงหน้าบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยจะยุติการชุมนุมในเวลา 24.00 น. แต่จะไม่มีการดาวกระจายและจะไม่มีการเคลื่อนขบวนไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล เพราะนาย
อภิสิทธิ์ไม่อยู่ เดินทางไปสหรัฐอเมริกา

 นายจตุพร ยังกล่าวว่า อยากให้ติดตามสถานการณ์ของบ้านเมืองหลายเรื่อง เช่น การพิจารณาคดีกล้ายางในวันที่ 21 กันยายนนี้ ถ้าเป็นไปตามข่าวลือที่บอกว่าคดีจะหลุดด้วยเสียง 8 ต่อ 1 คดีการตัดสินของ ป.ป.ช.เรื่องแถลงการณ์ร่วมเขาพระวิหาร ในวันที่ 22 กันยายน การตัดสินคดีหวยบนดิน ในวันที่ 30 กันยายน แต่ตนดูเส้นทางแล้วว่าสถานการณ์อาจไม่ถึงวันที่ 30 กันยายน เพราะเหตุการณ์ความขัดแย้งรุนแรงภายในรัฐบาลมีปัญหารุนแรงมาก ขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์ให้ดีๆ เพราะขณะนี้บางคนมาถึงจุดของคำว่าสุดทนแล้ว

 นายจตุพร กล่าวอีกว่า ตนได้รับทราบข่าวจากนายทหารที่อยู่ในบริเวณบ้านพักแม่ทัพภาคที่ 1 (พล.ท.คณิต สาพิทักษ์) ว่า มีการทุบบ้านที่นายกฯ เข้าไปพักอาศัยช่วงเหตุการณ์เดือนเมษายน และมี พลทหารอภินพ เครือสุข ทหารรับใช้แม่ทัพภาคที่ 1 เสียชีวิต ทำให้ไม่เหลือร่องรอยหลักฐานใดๆ จึงขอตั้งข้อสังเกตว่านายอภิสิทธิ์รู้เห็นกับการทำลายหลักฐานหรือไม่ และมีเหตุผลใดที่ต้องทุบบ้านดังกล่าวทิ้ง

 ผู้สื่อข่าวถามว่า หากรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง จะส่งผลต่อการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า เราจะตั้งกล้องวงจรปิดทุกมุม และหากมีความรุนแรงอะไรเกิดขึ้น ในวันรุ่งขึ้น เราจะไปร้องที่ ป.ป.ช. ตราบใดที่ยังมีรัฐธรรมนูญมาตรา 63 เรื่องสิทธิการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธบังคับใช้อยู่ เราก็สามารถชุมนุมได้ตามรัฐธรรมนูญ และจะให้ตรวจอาวุธคนเสื้อแดงทุกคน

“วีระ”ปลุกเสื้อแดงสถาปนารัฐใหม่

 ด้านนายวีระ กล่าวขณะไปเปิดโรงเรียนผู้ปฏิบัติงาน นปช. ว่า แม้โรงเรียนผู้ปฏิบัติงาน นปช.จะเป็นเพียงสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง แต่จะมีความหมายมากไปกว่าสถาบันอุดมศึกษาที่สอนตามหลักสูตรธรรมดาในประเทศ เนื่องจากโรงเรียนดังกล่าวจะอบรมให้ผู้เข้าร่วมหลักสูตรเป็นผู้นำในพื้นที่ของตัวเองต่อไป กิจกรรมที่คนเสื้อแดงจัดขึ้นในครั้งนี้สร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นกับกลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์ของคนเสื้อแดงเป็นอย่างมาก เพราะศัตรูรู้ดีว่าคนเสื้อแดงกำลังจะยกระดับคุณภาพขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองได้

 นายวีระ ระบุว่า หากย้อนเวลากลับไปในช่วง 19 กันยายน จะเห็นได้ว่าประเทศไทยได้ถอยหลังกลับเข้าไปสู่ระบอบเผด็จการ ซึ่งไร้ทั้งหลักนิติรัฐและนิติธรรม ดังนั้นแนวทางของคนเสื้อแดงจะต้องสถาปนารัฐใหม่ขึ้น โดยรัฐใหม่ที่จะถูกสร้างขึ้นนั้นจะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีหลักกฎหมายที่เป็นไปตามหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม หากเรื่องนี้หลุดมือคนเสื้อแดงไป บ้านเมืองก็จะจมดิ่งไปสู่ภาวะหลุมดำทางการเมือง และอาจกลับกลายเป็นรัฐบาลเผด็จการอย่างหนักเหมือนประเทศพม่า

 ขณะที่นายณัฐวุฒิ กล่าวในตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยปกครองด้วยระบบ 3 เสา คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ แต่สิ่งที่ผิดเพี้ยนอยู่บ้างคือ ตุลาการที่ไม่มีความยึดโยงจากประชาชน ด้วยเหตุที่ตุลาการไม่ได้มาจากประชาชนทำให้เกิดปรากฏการณ์พิสดารหลายอย่างในขณะนี้ ถึงเวลาแล้วที่คนเสื้อแดงจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บ้านเมืองมีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น

"แดงสยาม” โผล่ค้านชุมนุม 19 ก.ย.

 นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) แกนนำ นปช. กลุ่มแดงสยาม กล่าวถึงการที่กลุ่มเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวไปบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ว่า แกนนำที่จะพาไปมีเป้าหมายที่ชัดเจนหรือไม่ หรือไปด่าเพียงเพื่อความสะใจ

 “จุดประสงค์หลักเพื่อล้มระบบอำมาตย์คือจุดหมายหลักที่ลืมไม่ได้ เชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่เหนือสิ่งอื่นใด คือจุดยืนของแดงสยาม การเคลื่อนไหวในวันที่ 19 กันยายน น่าจะเปลี่ยนรูปแบบเป็นการสอนให้คนทั่วไปได้รับรู้ว่า วันนี้คือวันที่เกิดรัฐประหาร ใครบ้างที่อยู่เบื้องหลัง ควรหาทางออกที่ดีให้ประเทศ การเคลื่อนขบวนในวันนั้นไม่เห็นด้วย สุ่มเสี่ยงมาก ดูจากสถานการณ์แล้วล่อแหลม เพราะเป็นช่วงที่นายกฯ ไม่ได้อยู่ในประเทศ หากเกิดอะไรที่รุนแรงจึงไม่ใช่ความผิดของนายกฯ กลุ่มเสื้อแดงทำอะไรควรระวังให้ดี" นายสุรชัย กล่าว

ตั้ง กก. 20-30 คน ลดบทบาท 3 เกลอ

 นายนิสิต สินธุไพร อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน และ ผอ.โรงเรียน นปช. กล่าวถึงสาเหตุการตั้งโรงเรียน นปช.ว่า ได้ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงแนวนโยบายการตั้งโรงเรียนดังกล่าว โดยพ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าเป็นแนวคิดที่ดี ตน นพ.เหวง โตจิราการ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย นายวิสา คัญทัพ และนายชินวัฒน์ หาบุญพาด จึงร่วมกันร่างหลักสูตรขึ้นเพื่อสร้างเครือข่ายทั้งประเทศ โดยยึดแนวทางสันติวิธี

 นายนิสิต กล่าวอีกว่า ได้หารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า นปช.เป็นองค์กรที่เป็นการระดมความคิดทางการเมือง จึงไม่สมควรที่จะกำหนดทิศทางเพียงคน 3 คน คือ นายจตุพร นายณัฐวุฒิ และนายวีระ ดังนั้นจากนี้ไปการขับเคลื่อนของคนเสื้อแดงจะมีการประเมินสถานการณ์และกำหนดยุทธศาสตร์โดยคณะกรรมการ หรือแกนนำหมู่ 20-30 คน ที่จะเป็นคนลงมติกำหนดการเคลื่อนไหว

 ส่วนการเคลื่อนไหวในวันที่ 19 กันยายน นายนิสิต กล่าวว่า เป็นการวัดพลังมวลชนที่มีอยู่ และไม่เชื่อว่าจะไม่เกิดการรัฐประหารขึ้น เพราะกลุ่มบุคคลที่อุ้มชูและคอยชักใยนายอภิสิทธิ์ไม่พร้อมที่จะให้มีการเลือกตั้งใหม่

"ทักษิณ" จวกสื่อไม่เป็นกลาง

 ส่วนความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กลับมาโพสต์ข้อความลงในเว็บไซต์ทวิตเตอร์อีกครั้ง หลังเงียบหายไประยะหนึ่ง กรณีการให้สัมภาษณ์ นายจอม เพชรประดับ ออกอากาศทางวิทยุ อสมท คลื่นเอฟเอ็ม 100.5 จนนายจอมต้องประกาศงดจัดรายการ

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณได้โพสต์ข้อความว่า "ขอโทษครับที่หายไป ช่วงนี้ยุ่งมาก มีพวกมาเยี่ยมจากเมืองไทย แต่ก็มีอาหารไทยให้ทานมากมาย เช่น ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย อร่อยมากครับ ทราบว่า การเมืองเราก็วุ่นๆ" และ "สื่อแปลว่า ตัวกลาง หากสื่อไม่ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง ในการนำข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่เกิดไปสู่การรับรู้ของประชาชน อย่างเป็นกลาง ก็ไม่ใช่สื่อ"

"ชัยสิทธิ์" หนุนปฏิวัติ-เผยแม้วรอกลับไทย

 พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารบก และญาติผู้พี่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวยอมรับว่า เพิ่งเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงสบายดี และมีความสุขดีกับการที่ได้ทำธุรกิจกับชาวต่างชาติ แต่โดยส่วนตัวยังคงอยากที่จะเดินทางกลับประเทศไทยอยู่ตลอดเวลา เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณอยากที่จะอยู่กับลูกและภรรยาในประเทศไทย ซึ่งคงรอเพียงปาฏิหาริย์จากการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาเท่านั้น จึงจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถเดินทางกลับได้

 เมื่อถามถึงการชุมนุมในวันที่ 19 กันยายน ว่าจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในเดือนตุลาคมตามที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ เคยทำนายไว้หรือไม่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ตอบว่า ไม่น่าจะมีอะไร หากรัฐบาลไม่ไปยุแหย่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นก่อน 

 ส่วนกระแสข่าวเรื่องการปฏิวัตินั้น พล.อ.ชัยสิทธิ์ กล่าวว่า "ผมเห็นด้วย หากช่วยทำให้ประเทศไทยดีขึ้นได้ แต่ต้องล้างไพ่ทางการเมืองใหม่ทั้งหมดเพื่อยุติความขัดแย้งในชาติ และสร้างวิถีทางที่ถูกต้องให้ประเทศ รวมทั้งต้องคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด"

รสก.หวั่นชนแดง ย้ายที่รำลึกไป กปน.

 นายศิริชัย ไม้งาม ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิต กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่ประชุมสมาพันธ์รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) มีมติให้เปลี่ยนสถานที่จัดกิจกรรมบวงสรวงอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 20 กันยายน ซึ่งตรงกับวันรัฐวิสาหกิจไทย โดยทุกปีจะมีพนักงานรัฐวิสาหกิจทั่วประเทศไปรวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า และจะเดินขบวนไปทำเนียบรัฐบาล แต่ในปีนี้กลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมในบริเวณดังกล่าว สรส.จึงเห็นว่าควรย้ายไปจัดกิจกรรมที่การประปานครหลวง สำนักงานใหญ่แทน

ปชป.ปัดปรับ "ประวิตร" พ้น ครม.

 นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าวว่าจะมีการปรับ ครม.ว่า พรรคประเมินการทำงานของรัฐมนตรีอยู่ตลอดเวลา และมีความเห็นว่าขณะนี้พรรคพอใจการทำงานของรัฐมนตรีของพรรคและพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งพรรคเชิญมาเป็นรัฐมนตรีในโควตาของพรรคเอง

 "พล.อ.ประวิตร และ ผบ.ทุกเหล่าทัพ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีในช่วงที่ผ่านมา โดยมีส่วนสำคัญในการยับยั้งเหตุการณ์ช่วงเดือนเมษายนไม่ให้ลุกลาม ส่วนกระแสข่าวเรื่องการปรับ ครม.หรือยุบสภา จึงเป็นเพียงการปล่อยข่าวจากผู้ไม่หวังดีเท่านั้น" นพ.บุรณัชย์ กล่าว

 นพ.บุรณัชย์ ยังกล่าวเรียกร้องให้ตำรวจมีความเข้มงวดในการทำงานในวันที่ 19 กันยายน อย่าหวั่นไหวหรือเข้าเกียร์ว่าง รัฐบาลพร้อมให้ความคุ้มครองเต็มที่ และจะระดมความคิดเห็นเพื่อเตรียมยกร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการชุมนุม สนับสนุนของการทำงานของตำรวจ

ปชป.พร้อมร่วมแก้มาตรา 190

 นพ.บุรณัชย์ กล่าวถึงกรณีการเปิดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่ออภิปรายรายงานของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ขณะนี้มีความชัดเจนมากขึ้นว่า สาระที่จะมีการอภิปรายมี 6 ประเด็นของคณะกรรมการสมานฉันท์เป็นตัวตั้ง ส่วนประเด็นอื่นนอกเหนือจากนี้จะเป็นการทำงานร่วมกันของกระบวนการที่จะเกิดขึ้น ภายหลังจากที่มีการประชุมร่วมรัฐสภาแล้ว โดยประเด็นที่อาจเกิดความขัดแย้งใหม่ในสังคมอาจจะมีการตั้ง ส.ส.ร.3 หรือการที่ ส.ว.เสนอให้ตั้งกรรมการอิสระ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขมาตรา 291 หรือการทำประชามติ

 นพ.บุรณัชย์ ระบุว่า ในวันที่ 15 กันยายน พรรคจะประชุม ส.ส.เพื่อกำหนดแนวทางการอภิปรายในสภา รวมทั้งจุดยืนของพรรคในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะนี้มีความเห็นที่สอดคล้องกันอย่างน้อย 6 ข้อแรก ในส่วนของคณะกรรมการสมานฉันท์และพรรคประชาธิปัตย์ก็พร้อมที่จะให้มีการเดินหน้าได้ เช่น กรณีของมาตรา 190 หรือเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้ง เป็นต้น

สถาบันพระปกเกล้าแนะ 8 ทางรอดประเทศ

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมวิชาการ “ทางรอดของประเทศไทย” ที่จัดขึ้นโดยสถาบันพระปกเกล้าและเครือข่าย เมื่อวันที่ 11-12 กันยายน 2552 มีการระดมความเห็นนักวิชาการ ผู้นำทางสังคม เศรษฐกิจและสื่อมวลชนอาวุโส เพื่อมาร่วมกันหาทางออกให้แก่ประเทศ โดยมีข้อเสนอทางออก 8 ข้อ คือ 1.สังคมไทยในขณะนี้ถูกวิกฤติรุมเร้าเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งมาจากความขัดแย้งเชิงโครงสร้างมายาวนาน หากสังคมไทยสามารถตื่นรู้ และมองเห็นโอกาสเอง ใช้อำนาจให้น้อยลง ใช้ปัญญาให้มากขึ้น ก็จะสามารถปฏิรูปตนเองให้พ้นจากวิกฤติได้

 2.การจะปฏิรูปสังคมไทยให้พ้นจากวิกฤตินั้น จำต้องอาศัยทั้งบุคคลแต่ละคน กลุ่มแต่กลุ่มในสังคม และสุดท้าย ทั้งหมดต้องร่วมกันเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งในทุกด้านแทนที่จะมุ่งเอาชนะคะคานกันด้วยอคติและความเกลียดชัง

 3.ช่วงปี 2548 ถึงปัจจุบัน ประเทศไทยผ่านจุดวิกฤติที่อาจเปลี่ยนการชุมนุมของประชาชนไปสู่การนองเลือดมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ แสดงว่าปัจจุบัน ประเทศไทยมีพลังบางอย่างเหนี่ยวรั้งตัวเองไม่ยอมรับการนองเลือดอย่างที่ผ่านมา

 4.สังคมไทยจำเป็นต้องมีกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมในที่สาธารณะ ที่กำหนดมาตรการและลำดับขั้นตอนการปฏิบัติของทั้งผู้ชุมนุมและผู้ดูแลการชุมนุมที่ชัดเจนเพียงพอ อย่างไรก็ตาม จะต้องไม่ขัดกับเสรีภาพอันรัฐธรรมนูญได้ให้ไว้

 5.สิ่งที่ทำได้เลย คือ การเปิดพื้นที่หรือจัดเวทีให้ผู้เกี่ยวข้องในการชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นผู้กำหนดนโยบาย เจ้าหน้าที่รัฐระดับปฏิบัติ และผู้นำภาคประชาสังคม มาร่วมกำหนดกติกาการชุมนุมและแนวทางปฏิบัติที่ทุกฝ่ายยอมรับอันจะเป็นการป้องกันความรุนแรงเฉพาะหน้าได้

 6.รัฐต้องมีระบบสวัสดิการพื้นฐานที่เป็นไปได้เพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทยปัจจุบัน เนื่องจากประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาความไม่เป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากรและความมั่นคงในสังคมที่ไม่สามารถแก้ไขได้โดยการหว่านนโยบายประชานิยม

 7.การสร้างสวัสดิการพื้นฐานจะหางบประมาณได้จาก 2 แหล่งสำคัญ คือ การเพิ่มเม็ดเงินภาษีและการทำนโยบายที่จะลดประโยชน์ที่ไม่ควรได้ ซึ่งจะต้องแก้กฎหมายผลประโยชน์ทับซ้อน กฎหมายแข่งขันการค้า กฎหมายตลาดหลักทรัพย์ และการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส

 8.เพื่อให้กลไกและแนวคิดสามารถเกิดขึ้นได้เป็นรูปธรรมและยั่งยืน ควรระบุในรัฐธรรมนูญว่าให้จัดตั้งองค์กรปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรและความมั่งคั่งที่เป็นธรรมในสังคม ให้รัฐบาลนำข้อเสนอแนะไปพิจารณาเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ

 
  เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :-
 
  เนื้อหาที่คุณอาจกำลังค้นหา :-
บทความที่น่าสนใจ
สำนักข่าวมุสลิมไทยโพสต์
340 ลาดพร้าว 112 วังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310
โทร 0-2514-0593 แฟ็กซ์ 0-2538-4215 Email : [email protected]

Warning: include(../../main/globalsitemap.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/muslimpo/public_html/muslimthai/main/index.php on line 185

Warning: include(): Failed opening '../../main/globalsitemap.php' for inclusion (include_path='.:/usr/lib/php:/usr/local/lib/php') in /home/muslimpo/public_html/muslimthai/main/index.php on line 185