Raja Alem และ Mohammad Achaari อาหรับบุ๊คเกอร์ปี 2011
นับตั้งแต่รางวัล International Prize for Arabic Fiction 2011 หรือรางวัลอาหรับบุ๊คเกอร์ เป็นครั้งแรกในปี 2007
ก็ยังไม่มีปีใดที่จะสร้างสีสันบนเวทีรางวัลนี้ได้เท่ากับปี 2011 นอกจากจะเป็นปีแรกที่มีนักเขียนรับรางวัลร่วมกันถึงสองคนพร้อมกันแล้ว ปีนี้ยังเป็นปีแรกที่นักเขียนหญิงได้รับรางวัล
นวนิยายเรื่อง The Doves’ Necklace ผลงานของ ราชา อาเล็ม (Raja Alem) และ The Arch and the Butterfly ผลงานของ โมฮัมเหม็ด อาชารี (Mohammed Achaari) คือสองผลงานนวนิยายที่ได้รับรางวัลอาหรับประจำปีนี้ พร้อมเงินรางวัล 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทั้งสองนักเขียนต้องแบ่งกันคนละครึ่ง
นวนิยายทั้งสองเรื่องต่างมีการนำเสนอเรื่องในประเด็นที่เป็นเรื่องอ่อนไหวของสังคมอาหรับ The Doves’ Necklace พาไปสำรวจเรื่องราวชีวิตที่ถูกปิดเป็นความลับของนครเมกกะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผลงานเล่มนี้ฉายให้เห็นภาพของโลกแห่งอาชญากรรม การฉ้อราษฎร์บังหลวง โสเภณี และการหากินบนหลังแรงงานของพวกมาเฟีย ซึ่งเป็นผู้รับเหมาจ้างคนงานเหล่านี้มาทำงานก่อสร้างตามพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในเมือ
ราชาเป็นนักเขียนหญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ เงินรางวัลได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิบุ๊คเกอร์ และมูลนิธิเอมิเรตส์ ส่วนงานเขียนของโมฮัมเหม็ดนั้น เป็นเรื่องที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงผลกระทบของลัทธิก่อการร้าย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในตะวันตกเท่านั้น แต่ยังในครอบครัวชาวมุสลิม ซึ่งพวกเขาเคยเข้าใจว่า ลูกชายกำลังศึกษาอยู่ที่กรุงปารีส เสียชีวิตลงเช่นเดียวกับผู้ที่ถูกทารุณในอัฟกานิสถาน โดยตัวเดินเรื่องหลักคือพ่อของชายหนุ่มที่เป็นนักศึกษา และความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับภรรยา
นักเขียนผู้ได้รับรางวัลทั้งสองคน ได้รับการประกาศชื่อโดยประธานคณะกรรมการตัดสินรางวัล ซึ่งเป็นนักกวีและนักเขียนนวนิยายชาวอิรัก Fadhil Al-Azzawi ที่อาบูดาบี ประธานกล่าวถึงผลงานที่ได้รับรางวัลว่า “คณะกรรมการตัดสินมอบรางวัลให้กับนวนิยายทั้งสองเรื่อง ซึ่งได้แก่ The Arch and the Butterfly โดย โมฮัมเหม็ด อาชารี และ The Doves’ Necklace โดย ราชา อาเล็ม ผลงานนวนิยายทั้งสองเล่มนี้ดีมาก และเปี่ยมคุณภาพด้านวรรณกรรม นอกจากนี้ยังถ่ายทอดงานเขียนออกมา เชื่อมโยงกับปัญหาและเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสังคมตะวันออกกลาง ปัญหาซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบรรดาผู้ที่สั่งห้ามผู้คนไม่ให้มีปากมีเสียง จะเห็นได้ว่า ปัญหาตรงนี้สะท้อนให้เห็นในการประท้วงที่แพร่หลายไปทั่วในกลุ่มประเทศอาหรับ พวกเขาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง”
ผู้ชนะเลิศทั้งสองคนในปีนี้ ได้รับการคัดเลือกมาจากผลงานที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายทั้งหมด 6 เรื่อง คณะกรรมการประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ และผลงานที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารอบมานั้น ตัดสินในจากคุณภาพทางด้านวรรณศิลป์ โดยไม่เลือกสัญชาติ ประเทศ ศาสนา เพศ และอายุ ผลงานทั้งสองเล่ม หลังจากได้รับรางวัล จะมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผลงานได้มียอดขายจำนวนมากขึ้น รวมถึงเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติต่อไป
สำหรับผลงานที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายทั้ง 6 เรื่อง ประกอบด้วย The Doves’ Necklace ผลงานของ ราชา อาเล็ม (Raja Alem) , The Arch and the Butterfly ผลงานของ โมฮัมเหม็ด อาชารี (Mohammed Achaari), An Oriental Dance ผลงานของ Khaled al-Berry นักเขียนชาวอียิปต์, Brooklyn Heights ผลงานของ Miral al-Tahawy นักเขียนชาวอียิปต์, My Tormentor ผลงานของ Bensalem Himmich นักเขียนชาวโมร็อกโก และ Larvae Hunter ผลงานของ Amir Taj al-sir นักเขียนชาวซูดาน
โจนาธาน เทย์เลอร์ หนึ่งในกรรมการ แสดงความเห็นว่า “งานเขียนของโลกอาหรับมีความน่าสนใจ และสะท้อนให้เห็นถึงโลกอาหรับที่ไม่มีใครพูดถึง และนี่เป็นครั้งแรกที่คณะกรรมการเลือกผลงานที่ได้รับรางวัลมาสองเล่ม เพื่อให้เป็นผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ”
ด้านซัลวา มิคดาดี หัวหน้าฝ่ายศิลปะและวัฒนธรรมของมูลนิธิเอมิเรตส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งต่อสองนักเขียนผู้ทรงคุณค่า และเป็นครั้งแรกที่นักเขียนนวนิยายสตรีได้รับรางวัล พวกเราจะยังเป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัลต่อไป อย่างไรก็ตาม ผมต้องเครียดเมื่อรู้ว่ามูลนิธิไม่มีส่วนในการจัดหากรรมการหรือเข้าไปเป็นกรรมการตัดสินรางวัล ซึ่งผมก็ยินดี เพื่อให้รางวัลนี้มีอิสระในการตัดสินรางวัล”
สำหรับผลงานของนักเขียนชาวอาหรับที่เคยได้รับรางวัลนี้มาแล้ว ได้แก่ Sunset Oasis โดย Bahaa Taher (2008), Azazel โดย Youssef Ziedan (2009), Spewing Sparks as Big as Castles โดย Abdo Khal (2010) โดยนักเขียนทั้งสามคนที่เคยได้รับรางวัลนี้ ได้เคยนำเสนอในคอลัมน์เส้นทางนักเขียนไปแล้ว
ประวัติของนักเขียนผู้ได้รับรางวัลทั้งสอง โมฮัมเหม็ด อาชารี เป็นนักกวีชาวโมร็อกโก เกิดเมื่อปี 1951 รวมบทกวีนิพนธ์เล่มแรกตีพิมพ์เมื่อปี 1978 มีผลงานเขียนที่เป็นรวมกวีนิพนธ์มาแล้วทั้งหมด 10 เล่ม ผลงานรวมเรื่องสั้นและนวนิยายประเภทละ 1 เล่ม เขาทำงานเป็นผู้สื่อข่าวและงานการเมือง ซึ่งทำให้ได้เข้าไปทำงานในหลากหลายตำแหน่งของรัฐบาล รวมถึงปัจจุบันที่โมฮัมเหม็ด อาชารี ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ของประเทศโมร็อกโก
ส่วนราชา อาเล็ม เป็นนักเขียนนวนิยายชาวซาอุดีอาระเบีย ผลงานของเธอมีการตีพิมพ์ครั้งแรกในเซคชั่นวัฒนธรรมของหนังสือพิมพ์ Riyadh และยังทำงานเขียนบทละครแนวทดลองให้กับคณะละครเวที เธอได้รับรางวัลชนะเลิศด้านวรรณกรรมหลากหลายรางวัลด้วยกัน เช่นในปี 2005 ได้รับรางวัล Arabic Women’s Creative Writing Prize เนื่องในวาระครบรอบ 60 การก่อตั้งองค์การยูเนสโก
และยังได้รับรางวัล Lebanese Literary Club Prize ในกรุงปารีส เมื่อปี 2008 ผลงานบางเล่มของเธอ ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษและภาษาสเปน
ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ |