อุทธรณ์ยกฟ้อง “สารวัตรเงิน” อุ้มทนายสมชาย ศาลชี้พยานให้การสับสน ส่วนอีก 4 ตร.กองปราบ ให้ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น
ที่ห้องพิจารณา 913 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 11 มี.ค. ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 และนางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของนายสมชาย และบุตร ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ฟ้อง พ.ต.ต.เงิน ทองสุก อายุ 50 ปี อดีต สว.กอ.รมน.ช่วยราชการกองปราบปราม พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ อายุ 42 ปี อดีตพนักงานสอบสวน กก.4 ป., จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง อายุ 40 ปี อดีต ผบ.หมู่งานสืบสวน แผนก 4 กก.2 บก.ทท., ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต อายุ 38 ปี อดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ กก.4 ป. และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน อายุ 45 ปี อดีตรอง ผกก.3 ป. เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ เพื่อกระทำผิด และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2547 ระบุว่า
เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2547 จำเลยทั้งห้ากับพวก ร่วมกันปล้นทรัพย์ของนายสมชาย ซึ่งหายตัวไป และลักทรัพย์เอารถยนต์ ฮอนด้าทะเบียน ภง 6768-กรุงเทพฯ , นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโรเล็กซ์ 1 เรือน , ปากกายี่ห้อ มองบลังค์ 1 ด้าม และโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง รวมมูลค่าทั้งสิ้น 903,460 บาท โดยพวกจำเลยได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย ผลักและฉุดกระชากตัวนายสมชายให้เข้าไปในรถยนต์ของจำเลยทั้ง 5 แล้วจับตัวพาไปซึ่งจนถึงขณะนี้ ไม่ทราบว่า นายสมชาย จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ต่อมาวันที่ 16 มี.ค. 2547 พนักงานสอบสวนยึดรถยนต์ของนายสมชาย ที่ถูกจำเลยทั้ง ห้า ร่วมกันปล้นทรัพย์ไป เป็นของกลาง
ต่อมาวันที่ 8 เม.ย. 2547 จำเลยที่ 1-4 เข้ามอบตัว และวันที่ 30 เม.ย.47 จำเลยที่ 5 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้ง 5 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
คดีนี้ศาลอาญา มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2549 ว่า การกระทำของ พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 เป็นความผิดตาม ม.309 วรรคแรก และ ม.391 พิพากษาจำคุก 3 ปี ส่วนความผิดฐานปล้นทรัพย์แม้ข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกขับรถนายสมชายไปจอดทิ้งไว้ที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 ก็ เพื่ออำพรางหลบหลีกการสืบสวนจับกุม ไม่แสดงให้เห็นเจตนาว่า พวกจำเลยประสงค์ต่อทรัพย์ ส่วนทรัพย์สินอื่นก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ 1 กับพวกได้นำทรัพย์สินไปจริงหรือไม่ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์ ส่วนจำเลยที่ 2 - 5 พิพากษายกฟ้อง
อัยการโจทก์ และโจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษพวกจำเลยด้วย
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 - 5 มีความผิดตามฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น.คืนวันเกิดเหตุ นายสมชาย ได้ขับรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค สีเขียว ทะเบียน ภง 6768 กรุงเทพมหานครไปพบเพื่อนที่โรงแรมชาลีน่า ย่านรามคำแหง 65 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ ต่อมา.นายสมชายได้ออกจากโรงแรมเพื่อไปนอนค้างกับเพื่อนที่บริเวณแยกลำสาลี จากนั้นนายสมชายได้หายตัวไป โดยวันรุ่งขึ้นพบรถยนต์ซีวิคคันจอดอยู่ที่สถานีขนส่งหมอชิต เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวบพยานหลักฐานการใช้โทรศัพท์จนสามารถออกหมายจับจำเลยทั้งหมด ซึ่งได้เข้ามอบตัวและให้การปฏิเสธ แต่คำเบิกความของพยาน 3 ปากให้การว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนเห็นรถยนต์เก๋งสองคันจอดอยู่ริมถนนรามคำแหง จากนั้นมีบุคคล 3-5 คนฉุดกระชากนายสมชาย ขึ้นรถเก๋งคันหลังไป แต่ไม่เห็นใบหน้าชัดเจน ประกอบกับเอกสารการใช้โทรศัพท์ติดต่อของจำเลยที่ 2-5 ที่ได้มาจากบริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นเป็นเพียงสำเนา ไม่อาจใช้รับฟังในชั้นศาลได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอ พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2-5 ตามศาลชั้นต้น
มีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยคดีนี้จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าไม่มีพยานเห็นว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้อง โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน แม้ปรากฏว่ามีแสงไฟจากเสาไฟฟ้า มองเห็นสลัวได้ในระยะประมาณ 10 เมตร รวมทั้งแสงไฟจากริมรั้วบ้าน และแสงไฟจากรถยนต์ที่สัญจรไปมา แต่พยานให้การว่าเห็นชาย 3-5 คน ผลักดันชาย อายุประมาณ 50 ปี รูปร่างไม่สูงใหญ่ สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาวให้ขึ้นรถเก๋ง แต่พยานให้การว่ามองเห็นจากด้านข้าง รูปร่างคล้ายจำเลยที่ 1 อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นจำเลยที่ 1 คำให้การของพยานยังสับสน จึงมีเหตุความสงสัยตามสมควร ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลยที่ 1 อุทธรณ์จำเลยที่ 1 ฟังขึ้น พิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง แต่คดีนี้ศาลได้ออกหมายจับจำเลยไว้แล้ว เพราะเกรงจะหลบหนี จึงให้ออกหมายขังจำเลยที่ 1 ไว้ระหว่างฎีกา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้จำเลยที่ 2-5 เดินทางมาศาล ส่วน พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1ที่ศาลออกหมายจับเพราะมีพฤติการณ์จะ หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา พร้อมสั่งปรับนายประกัน 1.5 ล้านบาท โดยนายประกันแถลงโต้แย้งว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้หลบหนี แต่เป็นบุคคลสาบสูญ จึงแยกสำนวนส่งให้ศาลอุทธรณ์เพื่อมีคำสั่งต่อไป
ที่มา นสพ.เดลินิวส์