รัฐต้องหยุดเหตุร้ายในชายแดนใต้

กลุ่มโจรก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงปฏิบัติการอย่างเหิมเกริม หยามอำนาจรัฐหลังจากที่เพิ่งจะก่อเหตุลอบยิงพระสงฆ์ 3 รูป ขณะออกบิณฑบาตที่จังหวัดปัตตานี เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

ทำให้พระสงฆ์ 1 รูป มรณภาพขณะที่อีก 2 รูป บาดเจ็บสาหัส ล่าสุดโจรก่อการร้ายได้ปฏิบัติการคาร์บอมบ์แฟลตที่พักอาศัยของตำรวจกลาง เมืองจนพินาศในช่วงกลางวันแสก

ข้อน่าสังเกตก็คือ ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์โจรก่อการร้ายกราดยิงใส่พระสงฆ์ 3 รูป ที่จังหวัดปัตตานี ได้เกิดเหตุลอบยิงโต๊ะอิหม่ามคนหนึ่ง เสียชีวิต ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความสะเทือนใจทั้งต่อชาวไทยพุทธและชาวไทย มุสลิม เป็นอย่างมาก และเชื่อว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นเป็นการจงใจสร้างสถานการณ์ของกลุ่มโจรก่อการ ร้ายที่ต้องการให้เกิดความแตกแยกระหว่างชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จนลุกลามบานปลายกลายเป็นสงครามกลางเมือง

ก่อนหน้านี้ กลุ่มโจรก่อการร้ายปฏิบัติการลอบวางระเบิดกลางเมือง หรือพยายามลอบสังหารหมู่เจ้าหน้าที่รัฐและฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างโหด เหี้ยมแทบจะรายวันไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก สตรีหรือคนชรา โดยในช่วงหลังมีการลงมือปฏิบัติการอย่างอุกอาจเหิมเกริมกลางย่านชุมชนอย่าง ไม่เกรงกลัวอำนาจรัฐแม้แต่น้อย

และบริเวณชั้นล่างของอาคารพังพินาศไม่มีชิ้นดี โดยที่คนร้ายซึ่งเป็นวัยรุ่น 2 คน ยังได้ใช้ระเบิดมือขว้างใส่เจ้าหน้าที่ก่อนที่จะหลบหนีไปอย่างลอยนวลถือเป็น ปฏิบัติการที่อุกอาจท้าทายอำนาจรัฐเป็นอย่างยิ่ง

หากวิเคราะห์ปฏิบัติการของกลุ่มโจรก่อการร้ายอย่างต่อเนื่องมาตามลำดับใน ช่วงหลังทำให้เชื่อว่า กลุ่มโจรก่อการ้ายพยายามที่จะยกระดับการลงมือรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเน้นเป้าหมายกลางย่านชุมชน หรือแม้แต่สถานที่ราชการสำคัญอย่างสถานีตำรวจเพื่อแสดงศักยภาพของตัวเองและ สร้างความหวาดกลัว ขณะเดียวกันก็ต้องการสร้างข่าวไปทั่วโลกหวังใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อ รองกับทางการไทยเพื่อแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในช่วงที่องค์กรมุสลิมโลกจะมีการประชุมกันในเดือนมิถุนายน ที่จะถึงนี้

สำหรับฝ่ายรัฐนั้น แม้รัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงโดยเฉพาะกองทัพจะอ้างว่า แนวทางในการดับไฟก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เดินมาถูกทางแล้วและสถิติการ

ที่มา นสพ.แนวหน้า

ก่อเหตุร้ายลดลง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือ เหตุร้ายยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและร้ายแรงขึ้นทุกขณะซึ่งเป็นหน้าที่ของ รัฐที่จะต้องหยุดยั้งปฏิบัติการที่อุกอาจเหิมเกริมของกลุ่มโจรก่อการ้ายให้ ได้โดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้รัฐบาลตลอดจนหน่วยงานด้านความมั่นคงจะต้องมีการหารือเพื่อทบทวน จุดอ่อนข้อผิดพลาดที่ผ่านมา และต้องทำงานอย่างเป็นเอกภาพทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกตรอง ขณะเดียวกัน ก็ต้องปฏิบัติการเชิงรุกอย่างเข้มข้นจริงจังและต่อเนื่องมากขึ้นโดยเฉพาะ ด้านการข่าวแทนที่จะตั้งรับถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว