
ฮุนเซนซัดนายกฯไทยน่าละอาย
ฮุน เซน กล่าวหาไทย เริ่มใช้กลอุบาย และแสดงความน่าอับอายขายขี้หน้าอย่างชัดเจน ต่อการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลก เร่งอินโดนีเซีย ส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาโดยเร็ว
สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าววานนี้ (3) ในพิธีจบการศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญ ว่า นายกรัฐมนตรีของไทย (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ได้บอกกับผู้อำนวยการยูเนสโก เกี่ยวกับการถอนปราสาทพระวิหาร ออกจากบัญชีมรดกโลก ซึ่งถือเป็นการกระทำที่น่าละอายอย่างมาก ในฐานะประเทศที่เป็นเพื่อนบ้าน ที่ทำการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร
ส่วนในกรณีการปะทะกันกับกองกำลังทหารไทย เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา สมเด็จฮุน เซน กล่าวว่า ผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย จะมาติดตามสถานการณ์ในเร็วๆ นี้ และ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา กัมพูชาและไทย ได้ทำการตกลงที่จะอนุญาตให้ผู้สังเกตการณ์จากอินโดนีเซีย เข้ามาดูแลการหยุดยิงถาวร และยินดีให้เข้าตรวจสอบพื้นที่ทั้ง14 จุด เพื่อให้ผู้สังเกตการณ์ที่จะใช้หน้าที่ของตน ได้อย่างราบรื่น
ขณะที่สำนักข่าวซินหัว รายงานวันเดียวกัน ว่า สมเด็จฮุน เซน ที่กล่าวระหว่างงานฉลองวันวัฒนธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 13 ที่หอประชุมจตุรมุข โดยได้ร้องขอให้อินโดนีเซีย ส่งผู้สังเกตการณ์ เข้ามายังพรมแดนของกัมพูชาโดยด่วน หากประเทศไทย ยังคงไม่เต็มใจที่จะยอมรับ และหากฝ่ายไทยไม่รับผู้สังเกตการณ์ กัมพูชาก็ยินดีที่จะรับเพียงฝ่ายเดียว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยังกล่าวย้ำด้วยว่า จะไม่เจรจาทวิภาคีใด ๆ กับประเทศไทย ในเรื่องบริเวณพิพาทพรมแดนอีก แต่หากไทยต้องการเจรจา ก็จะต้องขออินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ให้จัดการประชุม
แต่อย่างไรก็ดี กัมพูชาจะยังคงเจรจากับไทย ในเฉพาะความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวและอื่น ๆ เท่านั้นส่วนเรื่องพื้นที่พิพาทพรมแดน ต้องมีการมีส่วนร่วมของประเทศที่สาม อีกทั้ง สมเด็จฮุน เซน ยังกล่าววิจารณ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย และ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ที่ขอ นายโคอิชิโร มัตสิอุระ ทูตพิเศษของยูเนสโก ให้ถอนปราสาทพระวิหารออกจากบัญชีมรดกโลก ว่าเป็นการกระทำที่น่าละอายอีกด้วย พร้อมกล่าวว่า กระสุนปืนครกและปืนใหญ่ 414 ลูก ยิงโดยทหารไทย ซึ่งตกลงในปราสาทพระวิหาร "ถือเป็นสงครามที่แท้จริง" และสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่การรุกรานแผ่นดินกัมพูชา แต่เป็นสงครามการทำลายวัฒนธรรม และกล่าวว่าการกะทำดังกล่าว "เป็นการกระทำที่น่าอัปยศอดสู ที่แย่ที่สุดของรัฐบาลไทย"
ที่มา ไอเอ็นเอ็น |