หมวดหมู่
หน้าหลัก       ยินดีต้อนรับสู่มุสลิมไทย โพสต์
 
พิมพ์หน้านี้  |  ส่งให้เพื่อน
โลกอิสลาม อุทาหรณ์ เตือนใจ

อุทาหรณ์จากโลกอิสลาม (ไทยโพสต์)

 

ช่วงวาระครบรอบ 6 ปี เหตุการณ์ตากใบเวียนมาถึง...ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คาด การก่อเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ไล่มาตั้งแต่นราธิวาส ปัตตานี ยะลา รวดเดียว 13 จุด ทั้งวางระเบิด ทั้งเผาสวนยาง ไม่เว้นไทย-พุทธ ไทย-มุสลิม เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร บาดเจ็บ ล้มตาย ระเนระนาด ตามความเหี้ยมโหด อำมหิตของโจรก่อการร้ายยุคใหม่ ที่ไม่สนใจชีวิตมนุษย์มนา อีกทั้งยังไม่สนใจแก่นสาระในศาสนาอิสลามด้วยซ้ำ...
                                             ------------------------------------------------
 อย่างว่านั่นแหละ...นับตั้งแต่เริ่มมีข่าวคราวความเคลื่อนไหว และการแพร่กระจายของลัทธิประหลาดๆ ที่เรียกๆ กันว่า ลัทธิวาฮ์ฮาบี (Wahhabi Islam) ปรากฏตัวขึ้นมาในแถบ 3 จังหวัดภาคใต้ เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว จากนั้นเป็นต้นมา อากัปกิริยาของลูกหลานเยาวชนชาวไทย-มุสลิมจำนวนไม่น้อย ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในชนิดแทบจำหน้าจำตากันไม่ได้ จากชาวไทย-อิสลามที่มีลักษณะทางวัฒนธรรม ประเพณีดั้งเดิม แบบที่เรียกๆ กันว่า มุสลิมมลายู หลายต่อหลายรายได้ถูกแปรสภาพให้กลายเป็น Muslim Brotherhood แบบเดียวกับผู้ก่อการร้ายชาวอาหรับในแถบตะวันออกกลางมากขึ้นทุกที โอกาสจะเจรจา ต่อรอง สร้างความเข้าใจ เข้าถึง ในฐานะผู้ร่วมใช้ชีวิตอยู่ในผืนแผ่นดินเดียว มันจึงออกจะลำบากยากเย็นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
                                             ------------------------------------------------
 แต่เอาเป็นว่า...ในขณะที่ใครต่อใครยังคงไม่หายหวาดประหวั่น พรั่นพรึง กับเรื่องน้ำท่วม กทม. จะไปหยิบเอาเรื่องปักษ์ใต้มาสร้างความสยดสยองเพิ่มเติม คงไม่เข้ากับบรรยากาศกันซักเท่าไหร่นัก ด้วยเหตุนี้ จึงต้องขออนุญาตฉีกแนว เตลิดเปิดเปิงไปพูดถึงเรื่องราวของประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็น ผู้ส่งออกลัทธิวาฮ์ฮาบี รายใหญ่ที่สุดในโลก หรือประเทศซาอุดีอาระเบีย น่าจะเหมาะกว่า โดยเฉพาะเมื่อวันสองวันมานี้ ได้มีข่าวสั้นๆ แต่อาจถือได้ว่าเป็นข่าวใหญ่ไม่น้อยทีเดียว ตีพิมพ์ในหน้าต่างประเทศ ไทยโพสต์ ช่วงวันศุกร์ที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา นั่นก็คือ ข่าวว่าด้วยการขายอาวุธล็อตใหญ่ ระดับอภิมหึมาของรัฐบาลสหรัฐให้กับซาอุดีอาระเบีย ตีมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านดอลลาร์ หรือร่วม 1.8 ล้านล้านบาท มีทั้งเครื่องบินเอฟ-15 จำนวน 84 ลำ เฮลิคอปเตอร์อาปาเช 70 ลำ 
แบล็กฮอว์ก 72 ลำ เฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กอีก 36 ลำ รวมทั้งการอัพเกรดเครื่องเอฟ-15 ล็อตเก่าอีก 70 ลำตามไปด้วย ฯลฯ
                                          -----------------------------------------------
 แน่ล่ะว่า...การที่รัฐบาลสหรัฐของประธานาธิบดี โอบามา ตัดสินใจขายอาวุธระดับอภิมหามหึมา หรือถือเป็น การขายอาวุธล็อตใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตามข่าวที่หน้าต่างประเทศ ไทยโพสต์ ได้ระบุเอาไว้ ให้กับรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ย่อมต้องก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์ วิจารณ์ ตามมาอย่างอุตลุด และโดยกระแสเสียงส่วนใหญ่ออกจะเห็นพ้องต้องกันว่า ไม่น่ามีอะไรมากไปกว่า...ความพยายามที่จะทำให้ความแข็งแกร่งของซาอุดีอาระเบีย กลายเป็นแนวป้องกัน ล้อมกรอบ ต่อประเทศคู่กัดตัวฉกาจของสหรัฐในภูมิภาคย่านนี้ นั่นก็คือ ประเทศอิหร่าน...ซึ่งยังคงไม่คิดที่จะเลิกละโครงการเพิ่มสมรรถนะยูเรเนียม หรือโครงการพัฒนานิวเคลียร์ จนต้องถูกกล่าวหาจากสหรัฐและชาติตะวันตกว่าเป็นความพยายามครอบครองอาวุธทำลายล้างมาโดยตลอดนั่นเอง...
                                            ---------------------------------------------
 โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธอย่าง ปีเตอร์ เวซแมน นักวิจัยอาวุโสแห่ง Stockholm International Peace Research Institute ได้ให้ข้อสรุปเอาไว้น่าสนใจไม่น้อย ด้วยการระบุว่า "ภายใต้การตัดสินใจ (ขายอาวุธสหรัฐ) เช่นนี้ ย่อมทำให้ซาอุดีอาระเบียกลายมาเป็นแนวกันชน ระหว่างอิสราเอลและอิหร่านไปโดยปริยาย" หรือโดยความแข็งแกร่งของซาอุดีอาระเบีย ที่แม้จะเป็นประเทศอิสลามด้วยกันก็ตาม แต่ก็เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปมานานแล้วว่า นอกจากเป็นอิสลามนิกายซุนหนี่ ต่างไปจากอิหร่านที่เป็นอิสลามนิกายชีอะห์แล้ว ยังเป็นอิสลามที่ยึดมั่นในลัทธิประหลาดๆ ที่เรียกขานกันในนาม ลัทธิวาฮ์ฮาบี ดังได้กล่าวไปแล้ว อันเป็นเหตุให้ทั้งสองประเทศนี้เคยเป็น คู่กัด ระหว่างกันและกันมาตั้งแต่ยุคพระเจ้าเหายังใส่กางเกงหูรูดก็ว่าได้ แน่นอนว่า...ภายใต้บรรยากาศความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตก รวมทั้งอิสราเอลที่กำลังเพิ่มขึ้นทุกที ความแตกต่างระหว่างอิสลามตามแบบฉบับซาอุฯ กับอิสลามแนวอิหร่าน ย่อมสามารถนำมาใช้เป็นแนวป้องกัน หรือเป็น กันชน ให้กับสหรัฐ หรือรัฐบาลอิสราเอลได้ไม่ยาก พอๆ กับ ศัตรูของศัตรู...ย่อมต้องกลายเป็นมิตร อะไรประมาณนั้น...
                                             --------------------------------------------------
 ยิ่งไปกว่านั้น...ในช่วงหลังๆ บทบาทความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลซาอุฯ กับรัฐบาลอิสราเอล ก็ดูจะยิ่งสลับซับซ้อน พิลึกกึกกือยิ่งขึ้นทุกที ถึงขั้นที่นิตยสาร ไทม์ หยิบเอาความเคลื่อนไหวบางอย่างมานำเสนอเป็นรายงานข่าว อ้างคำพูดของ แหล่งข่าวระดับสูง จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ระบุเอาไว้ในพาดหัวข่าวเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้  ว่า ซาอุดีอาระเบียเตรียมเปิดน่านฟ้าให้อิสราเอล ตามแผนปฏิบัติการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ในอิหร่าน เอาเลยถึงขั้นนั้น แม้ข่าวดังกล่าวจะถูกปฏิเสธจากแต่ละฝ่ายในเวลาต่อมา หรือกลายเป็นแค่ ข่าวเต้า เท่านั้น แต่เรื่องราว ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดลึกซึ้งระหว่างรัฐบาลซาอุฯ หรือสมาชิกชั้นสูงแห่งราชวงศ์อัล-ซาอุด กับอิสราเอลนั้น ก็ยังคงถูกนำมากล่าวถึง หยิบยกเอามาวิพากษ์ วิจารณ์ อยู่บ่อยๆ...
                                                ----------------------------------------------
 อย่างเช่น ความสัมพันธ์ระหว่างบรรษัทธุรกิจลงทุนขนาดยักษ์ที่ชื่อว่า ZDB Group ของนักธุรกิจชาวอิสราเอล กับบรรดาสมาชิกราชวงศ์อัล-ซาอุด ซึ่งต่างก็ร่วมมือร่วมไม้ในการแสวงหากำไรทางธุรกิจและการลงทุน แผ่ขยายอิทธิพลออกไปในโลกธุรกิจ ชนิดเว็บไซต์ Ynetnews.com ต้องนำรายละเอียดต่างๆ มาไล่เรียงเป็นบทความชื่อว่า Jewish Brain, Arab Money สะท้อนให้เห็นถึงการพึ่งพาอาศัยระหว่างชาวยิวกับชาวมุสลิมอาหรับแห่งราชวงศ์ซาอุฯ ที่ต่างก็ให้ความสำคัญกับ พระเจ้าเงินตรา ด้วยกันทั้งสิ้น ด้วยสายใยความสัมพันธ์เหล่านี้ หรือจะด้วยเหตุผลทางการเมือง ความมั่นคงใดๆ ก็แล้วแต่...ท้ายที่สุดแล้ว กลับทำให้ประเทศอิสลามด้วยกัน ต้องหันมากดดันกันเอง หรือต้องกลายเป็นแนวกันชนระหว่างกันและกันไปจนได้...
                                                  -----------------------------------------------
 และไม่ใช่เพียงเท่านั้น...บทบาทในการเป็น ผู้ส่งออกลัทธิวาฮ์ฮาบี ของซาอุดีอาระเบีย ที่ได้ขยายตัวลุกลามไปถึงประเทศอิสลามอย่างอัฟกานิสถาน จนกลายมาเป็นสมรภูมิสู้รบระหว่างสหรัฐและชาติพันธมิตรตะวันตก กับนักรบมุสลิมอย่างกลุ่ม ตอลิบัน จนตราบเท่าทุกวันนี้ จึงทำให้ไม่ได้เป็นเรื่องน่าแปลกใจอะไรมากมาย ที่เมื่อวันสองวันนี้ประธานาธิบดีอัฟกานิสถาน นาย ฮามิด การ์ไซ ผู้ซึ่งกำลังสู้รบปรบมืออยู่กับกลุ่ม ตอลิบัน และเป็นผู้ที่รัฐบาลสหรัฐหนุนหลังอยู่อีกต่างหาก ถึงได้ออกมาสารภาพว่าได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลอิหร่านแบบเต็มๆ เนื้อๆ แต่เหตุการณ์เหล่านี้ จะสามารถนำเอามาใช้เป็นอุทาหรณ์สอนใจสำหรับ 3 จังหวัดปักษ์ใต้ในบ้านเราได้บ้างหรือไม่??? เห็นทีจะต้องไปว่าต่อวันพรุ่งนี้...
                                             -------------------------------------------------
 ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก จอร์จ ซานตายานา (อีกครั้ง)...เท้าของคนต้องปักอยู่ในประเทศของเขา แต่ดวงตาควรสำรวจดูโลก...
                                              ------------------------------------------------

 
  เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :-
 
  เนื้อหาที่คุณอาจกำลังค้นหา :-
บทความที่น่าสนใจ
สำนักข่าวมุสลิมไทยโพสต์
340 ลาดพร้าว 112 วังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310
โทร 0-2514-0593 แฟ็กซ์ 0-2538-4215 Email : [email protected]

Warning: include(../../main/globalsitemap.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/muslimpo/public_html/muslimthai/main/index.php on line 185

Warning: include(): Failed opening '../../main/globalsitemap.php' for inclusion (include_path='.:/usr/lib/php:/usr/local/lib/php') in /home/muslimpo/public_html/muslimthai/main/index.php on line 185