ถังในร้านอาหาร ผมมีโอกาสได้ร่วมทริปไปกับเพื่อนพ้องน้องพี่หน้าตาเกือบดีอีก 8 ชีวิต สู่ดินแดนที่ไม่เคยหลับไหล ดินแดนแห่งแสงสีในยามราตรี หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนามของ พัทยา พัทยาซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในจังหวัดชลบุรี ด้วยจุดขายที่ติดกับชายทะเล และอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครเพียง 2 ชั่วโมงหากเดินทางโดยรถยนต์ แต่ถ้ามีความประสงค์ใช้บริการทางอากาศคงจะใช้เวลานานกว่านี้เพราะต้องนั่งเครื่องบินเล็กไปลงสัตหีบ ใช้เวลาร่วมชั่วโมงหลังจากนั้นต่อรถไปพัทยาอีกประมาณ 45 นาที บวกกับกระบวนการในสนามบิน เบ็ดเสร็จคงใช้เวลาไป 3 ชั่วโมงเศษ ดังนั้นนั่งรถไปที่นี่ดีสุดแล้วครับ ด้วยจุดขายของพัทยาที่กล่าวไปทำให้ปัจจุบันพัทยากลายเป็นที่อยู่อาศัยและที่ท่องเที่ยวของพวกฝรั่งหัวแดง หัวเหลือง หัวทอง มากกว่าคนไทยหัวดำอย่างเราๆไปซะแล้ว ผมอดรู้สึกทุกครั้งที่มีโอกาสไปเยือนที่แห่งนี้ไม่ได้ว่า ผมมานั่งรถเที่ยวอยู่ในยุโรป มาเล่นน้ำทะเลที่ฮาวาย และมาเดินเล่นอยู่กลางตรอกเล็กๆของฮ่องกง เราออกจากกรุงเทพฯตอนสองทุ่มวันศุกร์ ไปถึงพัทยาตอนสี่ทุ่ม การไปเที่ยวพัทยาครั้งนี้ ขอไม่ใช้คำว่าเที่ยวทะเล ผมไม่มีใครในทีมได้แตะน้ำทะเลเลยสักหยด พวกเราไปนั่งคุยและกินโดยใช้พัทยาเป็นฉากหลังครับ เรื่องของเรื่องมันเกิดตอนอาหารมื้อเย็นวันเสาร์ พวกเราตัดสินใจว่าจะไปหาร้านอาหารมุสลิมริมทะเลทานกัน ก็เลยขับรถสำรวจไปเรื่อยๆ จนได้ไปเจอกับร้านส้มตำและอาหารทะเลสดมุสลิมข้างทางร้านหนึ่งเข้า แวบแรกที่เห็นร้านก็ยังไม่รู้สึกสนใจที่จะแวะไปรับประทานสักเท่าใดนัก แต่พอเหลือบไปยังที่นั่งซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะชักชวนกันให้เลือกทานอาหารที่ร้านนี้ จุดขายของร้านคือที่นั่งทานริมทะเล ที่หาดทรายแคบและพื้นถนนยกสูง ทำให้ถ้าไม่หันไปมองอีกฟากถนน ก็เหมือนนั่งทานอาหารอยู่บนทะเลยังไงยังงั้นเลยทีเดียว เมื่อทุกคนจับจองที่นั่งของตัวเองได้เรียบร้อยแล้วก็จัดการสั่งอาหารกันอย่างเต็มที่โดยไม่มีใครนึกเอะใจกับราคาอาหารที่ไม่ยักปรากฎอยู่ในเมนูเลยแม้แต่คนเดียว ระหว่างที่นั่งรออาหารนั้นก็พลันนึกขึ้นได้ว่าน่าจะลองถามราคาอาหารดูสักหน่อย จึงสอบถามไปกับเด็กเสิร์ฟ คำตอบที่ได้มาตามคาดครับ ราคาอาหารทะเลริมหาดฮาวายใจกลางประเทศไทยนี้ก็ย่อมเป็นราคาที่ตั้งมาเพื่อสนองต่อความต้องการของชาวต่างชาติ และคนไทยที่ต้องการหาเรื่องเปลี่ยนบรรยากาศการกินอาหารอย่างกลุ่มพวกผมจริงๆ พวกเราใช้เวลาในการทานอาหารมื้อนี้กันพอสมควรด้วยกับบรรยากาศชวนเคลิบเคลิ้มและอาหารอันเอร็ดอร่อย แต่ตลอดเวลาที่นั่งทานอาหารผมมองหาสิ่งๆหนึ่งอยู่ตลอดเวลา สิ่งๆหนึ่งซึ่งควรจะมีอยู่ในร้านอาหารที่อาศัยธรรมชาติที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นเป็นสิ่งสำคัญในการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง สิ่งๆหนึ่งที่ผมมักจะหาไม่เจออยู่เสมอเมื่อต้องไปใช้บริการของร้านอาหารหรือสถานที่ท่องเที่ยวประเภทนี้ ครับ ผมกำลังมองหา ถังขยะ ที่ยังไงก็คงไม่มีวันหาเจอในอาหารมื้อนี้ ถ้าไม่นับริมชายหาดที่มีเศษอาหารเปลือกกุ้งและขยะอื่นๆถูกโยนทิ้งไว้ วันนี้ถ้าผู้ประกอบการไม่ช่วยกันรักษาธรรมชาติที่เกื้อหนุนธุรกิจของพวกเขา ทำธุรกิจกันแต่เพียงเพื่อตัวเองไม่สนใจผู้อื่น แล้ววันไหนล่ะครับที่เราจะมีช่องทางการทำธุรกิจที่ยืนยาวถึงลูกถึงหลานอย่างบรรดาพวกหัวหลายสีที่มาใช้จ่ายเศษเงินในประเทศของเราสักที ยังไม่สายนะครับถ้าจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ โดย ชานนท์ ยิ้มใย ที่มา นิตยสารริสกี [email protected] |