เวลานี้ถ้าใครได้มาเดินเล่นแถวมาเลเซียแล้วเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ตกอกตกใจแล้วไซร้ ก่อนจะเผลอตัวอุทานออกมาก็ขอให้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน เพราะคำบางคำหากออกจากปากของคนผิดกลุ่ม ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติตามมาตรฐานของกระทรวงมหาดไทยมาเลเซีย
คำเจ้าปัญหาที่ทิ่มแทงใจใครต่อใครอยู่ในตอนนี้คือคำว่า อัลเลาะห์ หรือ พระเจ้า ในภาษาอาหรับนั่นเอง
คำคำเดียวที่ปรารถนาของหลายฝ่ายนี้ เป็นที่มาเหตุการณ์อันน่าหวั่นวิตก สร้างความสงสัยในหมู่ผู้มองโลกในแง่ร้ายว่ามาเลเซียกำลังจะเดินหน้าเข้าสู่ยุคตาลิบันนิยมอยู่หรือเปล่า
ที่สงสัยกันอย่างนี้ก็เพราะจู่ๆเมื่อเวลาเช้าตรู่ของวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา มือมืดกลุ่มหนึ่งได้ขว้างระเบิดขวดใส่โบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งในใจกลางเมืองกัวลาลัมเปอร์ เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ร้ายแรงบริเวณชั้นล่าง ประมาณความสูญเสียได้ถึงหนึ่งล้านริงกิตมาเลเซีย หรือ 10 ล้านบาท
นี่เป็นครั้งแรกที่ศาสนสถานของชาวคริสต์ถูกโจมตีเช่นนี้ ท่ามกลางบรรยากาศของข้อพิพาทเกี่ยวกับศาสนาที่เป็นอยู่ การใช้ความรุนแรงดังกล่าวนับว่าได้สร้างความกลัวขึ้นในหมู่ประชาชนคนธรรมดาอยู่ไม่น้อย
ข่าวลือและข่าวจริงเรื่องการโจมตีโบสถ์คริสต์ทยอยเข้ามาตลอดทั้งวัน ในวันเดียวกันนั้นเองโบสถ์คริสต์อีกสามแห่งในกัวลาลัมเปอร์และย่านใกล้เคียงก็ถูกโจมตีด้วยระเบิดขวดแต่ไม่ได้รับความเสียหายร้ายแรง ในขณะที่อีกสองโบสถ์ถูกโทรศัพท์ลึกลับข่มขู่ทำร้าย
สองวันต่อมากลับกระจายไปในรัฐบางรัฐของมาเลเซีย เช่นที่เกาะเนกรีเซมบิลัน และเปรัก ไม่ใช่เฉพาะโบสถ์คริสต์อย่างเดียว แต่โบสถ์ของชาวซิกข์อายุร่วมร้อยปีในกัวลาลัมเปอร์ก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย เมื่อมีมือลึกลับระดมขว้างก้อนหินขนาดเท่าลูกกอล์ฟนับสิบลูกทำลายประตูทางเข้าเสียยับเยิน
แม้ว่าจะไม่มีใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่บรรยากาศของความกลัวก็คืบคลานเข้ามาทุกที เพราะนี่อาจเป็นสัญญานของความรุนแรงทางศาสนาที่ทำเอาคนฆ่ากันตายมานักต่อนักแล้วในอดีต
ยุทธการถล่มโบสถ์เป็นผลพวงมาจากข้อพิพาทระหว่างกระทรวงมหาดไทยมาเลเซียกับคริสตจักรมาเลเซีย เรื่องสิทธิของชาวคริสต์ในการใช้คำว่า อัลเลาะห์
เมื่อปลายปีที่แล้ว กระทรวงมหาดไทยสั่งห้ามนิตยสาร ดิเฮอรัลด์ อันเป็นนิตยสารของคริสตจักรมาเลเซีย ไม่ให้ใช้คำว่า อัลเลาะห์ เมื่อเอ่ยถึงพระเจ้าของศาสนาคริสต์ในข้อเขียนภาคภาษามลายูของนิตยสาร
ข้ออ้างของทางการคือการใช้คำดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความสับสนอันอาจกระทบกระเทือนความมั่นคงของชาติ นอกจากนั้นยังบอกว่า คำว่า อัลเลาะห์ นั้นหมายถึง พระเจ้าที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งก็คือพระเจ้าในศาสนาอิสลาม ดังนั้นศาสนาอื่นจึงไม่สามารถใช้คำนี้ได้
ว่ากันว่าสาเหตุของคำสั่งกระทรวงมหาดไทยมาจากแรงกดดันจากกลุ่มมุสลิมบางกลุ่มที่มีความกลัวอยู่ในใจว่า ฝ่ายคริสต์กำลังมีแผนจะรุกไล่คอยเปลี่ยนศาสนาคนมุสลิมในประเทศ
พอกระทรวงมหาดไทยออกคำสั่งเช่นนี้ คริสตจักรมาเลเซียก็ไม่รอช้า จัดการยื่นฟ้องต่อศาลสูงโดยโต้แย้งว่าโบสถ์คริสต์ใช้คำว่า อัลเลาะห์ในการสื่อสารภาษามลายูมานานแล้ว โดยเฉพาะที่เกาะซาราวักและซาบาห์วักที่มีประชากรประมาณ 50 เปอร์เซนต์นับถือศาสนาคริสต์ ประชากรที่นั่นส่วนใหญ่ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาหลัก และพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
นอกจากนั้นคริสตจักรในประเทศตะวันออกกลางก็ยังใช้คำว่าอัลเลาะห์ในการเอ่ยถึงพระเจ้า หาได้มีการห้ามกันไม่
เมื่อวันคริสต์มาสอีฟที่ผ่านมา ศาลสูงแห่งกัวลาลัมเปอร์ตัดสินให้คริสตจักรมาเลเซียมีสิทธิในการใช้คำว่าอัลเลาะห์ได้ต่อไป
ผู้พิพากษาหญิงแห่งศาลไคฟง เอ๊ย.. ศาลสูงชี้ว่า ถึงแม้ศาสนาอิสลามจะเป็นศาสนาของชาติ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีอำนาจห้ามไม่ให้ผู้อื่นใช้คำคำนี้ นอกจากนั้นการะทรวงมหาดไทยเองก็ไม่สามารถให้เหตุผลที่ชัดเจนต่อศาลได้ว่าการที่ชาวคริสต์ใช้คำว่าอัลเลาะห์นั้น มันเป็นภัยต่อความมั่นคงอย่างไร
นอกจากนั้นเธอยังกล่าวว่า ประชาชนมาเลเซียมีสิทธิเท่าเทียมกันในการใช้คำคำนี้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 11 ว่าด้วยสิทธิในการแสดงออกและการนับถือศาสนา
ประเทศมาเลเซียมีประชากรผู้นับถือศาสนาคริสต์ประมาณ 10 เปอร์เซนต์ของประชากร 27 ล้านคนของประเทศ ส่วนนิตยสาร ดิเฮอรัลด์ นั้นมียอดพิมพ์อยู่ที่14,000 ฉบับต่อสัปดาห์ นอกจากโบสถ์คริสต์แล้ว โบสถ์ของชาวซิกข์ก็ใช้คำคำนี้เมื่อเอ่ยถึงพระเจ้าในศาสนาของตนด้วย
คำพิพากษานี้สร้างความไม่พอใจต่อชาวมุสลิมบางกลุ่มเป็นยิ่งนัก ถึงขั้นประกาศประท้วงใหญ่ตามมัสยิดต่างๆทั่วประเทศ
เอาเข้าจริงๆผู้ประท้วงตามที่ต่างๆมีเพียงจำนวนร้อย ชะรอยคนบางกลุ่มอาจคิดว่าแค่นี้ยังไม่หนำใจ เผามันเสียเลยดีกว่า... ฮ่าๆๆ
ที่เผาก็เผากันไป ส่วนทางกระทรวงมหาดไทยก็ยื่นอุธรณ์โดยพลัน พร้อมทั้งขอคำสั่งศาลให้ระงับคำสั่งของศาลสูงไว้จนกว่าการพิจารณาคดีในศาลอุธรณ์ ซึ่งก็ได้สมใจ สรุปแล้ว ดิเฮอรัลด์ ก็กลับไปใช้คำว่าอัลเลาะห์ไม่ได้เสียที
จนป่านนี้ตำรวจมาเลเซียยังแอ๊บแบ๊วจับมือใครดมไม่ได้ แต่ที่แน่ๆคือใครต่อใครปักใจเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยว่ากลุ่มมือระเบิด (ขวด) เหล่านี้เส้นใหญ่ขนาดเส้นก๋วยจั๊บ นักวิเคราะห์บางคนฟันธงว่าเรื่องนี้เป็นเกมการเมืองช่วงชิงคะแนนเสียงชาวมุสลิมของพรรคอัมโน เพื่อเตรียมการในการเลือกตั้งครั้งต่อไปในอีกสองปีข้างหน้า
จึงไม่แปลกอะไรที่นักการเมืองพรรคอัมโนตั้งแต่ตันายกฯ นาจิบ ราซัค จึงออกมาพูดอะไรอึมๆครึมๆไม่ชัดเจน ในขณะที่บางคนสนับสนุนแนวคิดแบบกระทรวงมหาดไทยอย่างเปิดเผย
ส่วนฝ่ายค้านอย่างพรรคพาสที่เป็นพรรคอิสลามและเป็นคู่แข่งสำคัญของอัมโนนั้นออกมาประนามความรุนแรงครั้งนี้อย่างชัดเจน โดยฮาดี อาหวัง ผู้นำพรรคซึ่งเดินทางไปเยี่ยมโบสถ์ที่ถูกโจมตีกล่าวว่า การกระทำครั้งนี้ถือว่าขัดแย้งต่อหลักการของอิสลาม
พรรคอิสลามอย่างพาสเสียอีกที่ก่อนหน้านี้ได้ออกแถลงการณ์ชี้ว่า ชาวคริสต์มีสิทธิในการใช้คำว่าอัลเลาะห์ แต่ขอให้ใช้คำนี้อย่างระมัดระวังไม่ให้มีการสับสนเกิดขึ้นเท่านั้นเอง
ขณะที่รอฝ่ายตำรวจที่ยังมะงุมมะงาหราหาตัวการมาลงโทษอยู่นั้น บรรยากาศในโลกไซเบอร์ก็คุกรุ่นประหนึ่งระเบิดลง โดยมีเว็บไซด์เกิดใหม่เพื่อโต้เถียงในประเด็นนี้ 3 เว็บไซด์ เว็บไซด์แรกเกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนคำสั่งกระทรวงมหาดไทย เว็บไซที่สองเพื่อคัดค้าน และเว็บไซด์ที่สามมีจุดยืนต่อต้านการใช้ประเด็นดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางการเมือง
เว็บไซด์แรกมีสมาชิกแรกเริ่มถึง 85,000 คน และจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่าวรวดเร็วถึงพันคนต่อชั่วโมง ตัวตั้งตัวตีของเว็บนี้คือกรรมการกลุ่มยุวชนพรรคอัมโนผู้หนึ่งนักเขียนบทความผู้หนึ่งของหนังสือพิมพ์ อูตูซานมลายู อันเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีพรรคอัมโนเป็นเจ้าของ ส่วน เจ้าหน้าที่ ผู้หนึ่งของเว็บไซด์นี้ชื่อว่า มุคกริซ มหาธีร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมต่างประเทศ บุตรชายอดีตนายกมหาธีร์ โมฮัมหมัด นั่นเอง
ส่วนเว็บไซด์ที่เหลืออีกสองเว็บแพ้รายแรกอย่างไม่เป็นฝุ่น เพราะมีสมาชิกรวมกันแล้วไม่ถึงหนึ่งพันคน การถกเถียงในโลกไซเบอร์ทั้งในเว็บไซด์ทั้งสามและตามบล็อกต่างๆเป็นไปอย่างดุเดือดเลือดพล่านเป็นยิ่งนัก
ในขณะที่ผู้เขียนกำลังเขียนบทความนี้อยู่ บรรยากาศทางการเมืองของมาเลเซียยังคงตึงเครียด ไม่มีใครรู้ว่าวันนี้โบสถ์ไหนจะเจอแจ็คพ็อตเป็นรายต่อไป และที่สำคัญกว่านั้นคือ หลังจากระเบิดขวดแล้วยังจะมีอะไรตามมาอีกหรือเปล่า..
โอ้... พระเจ้า!